สมาธิในสังคมฝรั่ง
การทำ
“สมาธิ” มีอยู่ในทุกสังคมทุกเผ่าพันธุ์ และทุกศาสนา
การทำสมาธิของพุทธศาสนานั้นเป็น
“สัมมาสมาธิ” ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์
สมาธิที่ฝรั่งนิยมกันนั้น
ถ้ามิได้เกิดปัญญาเข้าใจอริยสัจสี่ ก็มีผลแค่คลายทุกข์เท่านั้น ดับทุกข์ไม่ได้
ม.ร.ว
คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนเปรียบเทียบการทำสมาธิในสังคมฝรั่งกับสัมมาสมาธิแบบพุทธ
ไว้ในคอลัมน์ “สยามรัฐหน้า 5” วันที่19
กรกฎาคม 2516 มีเนื้อหาดังนี้
“เมื่อสองสามวันนี้
ได้อ่านบทความจากต่างประเทศเรื่องการทำสมาธิในเมืองฝรั่งแล้วลองอ่านดู
จับความได้ว่าในขณะนี้ฝรั่งทำสมาธิกันมากเริ่มต้นจากพวกนักดนตรีคณะบีตเติลส์
หรือที่ไทยเรียกว่าเต่าทองนั้นสนใจสมาธิ
และเรียนจากครูชาวอินเดียคนหนึ่งซึ่งเรียกตนเองว่า มหาฤาษี มเหศวร์ โยคี
การทำสมาธิเป็นแฟชั่นเรื่อยมาโปรดสังเกตว่าเป็นแฟชั่น
ในเวลานี้มีคนทำสมาธิกันมากมาย
เช่นที่อังกฤษ คนที่เรียนสมาธิจากสำนักแห่งหนึ่ง มีสมาชิกสภาผู้แทน
สมาชิกอาวุโสแห่งโรงละครเช็คสเปียร์หลวง นักเขียนบทความหนังสือพิมพ์ คนกวาดฝุ่น
แอร์โฮสเตส พนักงานเทศบาล หัวหน้าวงดนตรีมีชื่อ ผู้ตรวจการสาธารณสุข
นักเขียนนวนิยาย คนขายของข้างถนน และนายพันโททหารบก
นักธุรกิจอเมริกันคนหนึ่งที่ต้องนั่งรถไฟไปทำงาน
ใช้ยางอุดหูแล้วทำสมาธิบนรถไฟทั้งไปทั้งกลับ
ตามฐานทัพอเมริกันในอังกฤษนั้นได้เปิดอบรมสมาธิกันหลายแห่ง
มหาวิทยาลัยห้าแห่งในอังกฤษกำลังดำริที่จะเปิดหลักสูตรสอนสมาธิ
สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด
ที่รัฐคาลิฟอร์เนียในสหรัฐอเมริกากำลังทำการวิจัยสมาธิ
เพื่อให้รู้ผลทางกายของสมาธิ
และก็ค้นพบว่าการทำสมาธิทำให้การชุมนุมของธาตุแล็คเตทในเลือดมีน้อยลง
ธาตุแล็คเตทนั้นเมื่อมารวมชุมนุมกันในเลือดของใครมากเข้า
จิตใจของคนนั้นก็จะขุ่นมัว มีวิตกวิจารและมีกังวลมากเมื่อธาตุนั้นชุมนุมกันน้อยลง
ความกังวลตึงเครียดก็น้อยลง
บทความนี้เขาบอกว่าในการทำสมาธินั้นจะต้องทำใจให้พ้นกังวลไม่คิดถึงเรื่องราวต่าง
ๆ เสียก่อน...........
การทำให้จิตว่างจากกังวลหรือเรื่องราวต่าง
ๆ นี้จะทำอย่างไรเขาก็ไม่บอกไว้
บอกไว้แต่ว่า
ทิ้งเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้เสียให้สิ้น อย่าไปนึกถึงมัน
เมื่อทำได้ดังนี้แล้วก็ให้ร่ายมนตร์
มนตร์นี้เป็นคำพยางค์เดียวในภาษาสันสกฤตซึ่งผู้อบรมสมาธิจะสอนให้
เขาไม่ได้บอกไว้ด้วยเป็นคำอะไร
แต่ก็เห็นจะพอเดาได้ว่า คงจะเป็นคำว่า “โอม”
เพราะคำนี้เป็นคำพยางค์เดียวในภาษาสันสกฤตที่ออกจะศักดิ์สิทธิ์มาก
การร่ายมนตร์ก็คือ
การกล่าวคำนี้ในใจเรื่อยไป โดยไม่ต้องออกเสียง
คำพยางค์เดียวนี้ก็จะเป็นความคิดอันเดียวในจิต
และมีอยู่เรื่อยไปจนกว่าจะเลิกทำสมาธิ
เมื่อจิตเลิกคิดวุ่นวาย
มาใช้แต่ความคิดอันเป็นความคิดที่ไม่แจกลูกแจกหลานดังนี้
จิตก็ไม่วุ่นวายและได้พักจริง ๆ
เพราะไม่ต้องทะยานไปตามความคิดยุ่งเหยิงสับสนที่จะต้องเกิดขึ้นในจิตเรื่อย ๆ
ทำได้อย่างนี้แล้วเป็นอย่างไร
?เขาบอกว่าสมาธิทำให้จิตขึ้นอยู่เหนือเรื่องธรรมดาโลก จิตนั้นสงบ
มองดูเห็นสีต่าง
ๆ ในโลกสดขึ้นปัญหาต่าง ๆ ในโลกนั้นเบาขึ้น
จิตนั้นมีพลังยิ่งขึ้น
และผู้ที่เป็นเจ้าของจิตหายตึงเครียดทางใจ ชีวิตมีค่ายิ่งขึ้น
และจะเลิกใช้ชีวิตนั้นอย่างวุ่นวายรีบร้อนดูไปแล้วก็ไม่เหมือนกับสมาธิในทางพุทธถ้าจะพูดกันอย่างใจแคบ
จะเรียกสมาธิของฝรั่งว่า มิจฉาสมาธิก็คงจะได้กระมัง
สมาธิในศาสนาพุทธนั้น
ท่านสอนให้กำหนดลมหายใจเข้าออก
เพราะจิตซึ่งเป็นธาตุรู้
ธาตุคิด นั้น จะไม่ทำอะไรนอกจากคิดแต่อย่างเดียว
คิดเรื่องเล็กแล้วก็ไปคิดเรื่องใหญ่
ยิ่งคิดมากความคิดนั้นก็พัวพันกันยิ่งขึ้น เกิดเป็นความคิดใหญ่โต
ซึ่งมีแต่จะใหญ่ขึ้นไปและยุ่งขึ้นไปในที่สุดก็เลยคิดไม่ออกที่สำคัญนั้นก็คือเมื่อคิดไม่ออกก็เลยมองไม่เห็นความจริงแห่งชีวิตที่ท่านเรียกว่าอริยสัจ
เมื่อมองไม่เห็นอริยสัจ
ชีวิตก็มีแต่ทุกข์ความทุกข์ปลีกย่อยในชีวิตนั้นมีทางดับได้หลายทาง
สมาธิฝรั่งนั้นก็อาจเป็นทางหนึ่งแต่ความทุกข์เที่ยงแท้ดั้งเดิมคือทุกข์ในอริยสัจนั้น
ไม่มีใครดับได้
นอกจากจะรู้จักทุกข์
รู้จักเหตุแห่วงทุกข์ การดับแห่งทุกข์ และทางปฏิบัติที่จะไปถึงความดับแห่งทุกข์
เรื่องเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริง
จะรู้กันด้วยการเล่าเรียนหรือใช้เหตุผลไม่ได้
ต้องเข้าถึงตัวทุกข์และเหตุแห่งทุกข์นั้นด้วยตนเองถ้าใจยังวุ่นวายอยู่ก็ไม่มีมีวันเข้าถึง
เพื่อให้จิตเลิกยุ่งกับเรื่องภายนอก
ท่านจึงสอนให้ดึงจิตเข้ามาไว้ข้างใน ให้พิจารณาอะไรในตัวซึ่งเป็นของง่ายที่สุด
และธรรมดาที่สุด คือลมหายใจของตัวเองง่ายเสียจนเด็ก ๆ ก็ทำได้แต่เมื่อทำแล้วจิตก็เป็นสมาธิ
และจิตในสมาธินั้นเองจะเข้าถึงทุกข์ได้วิธีอะไรที่มีเหตุผลมากกว่าเพื่อน
วิธีนั้นก็น่าจะถูกกว่าเพื่อน
อ่านเรื่องสมาธิฝรั่งแล้ว
ก็ยังเห็นว่าสมาธิในพระพุทธศาสนาเป็นสัมมาสมาธิอยู่ไม่หย่อนศรัทธาลงไปได้”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น