ศึกษาเรียนรู้

2.7.66

การบริหารเจ้านาย

 การบริหารเจ้านาย (Managing your boss) 

ในระยะหลัง ๆ เราไม่ค่อยได้ยินคำว่าการบริหารเจ้านาย (Managing your boss) กันมากนัก เพราะด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ทำให้เราต้องหันไปสนใจเรื่องของการทำอย่างไรให้องค์กรอยู่รอดให้ได้ในสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี ถ้าเราต้องการที่จะทำงานอย่างได้ผล และมีประสิทธิภาพมาก นอกจากผู้จัดการที่ต้องทำหน้าที่บริการจัดการลูกน้องของตนเองแล้ว ตัวลูกน้องเอง ก็ต้องทำหน้าที่ในการบริหารเจ้านายของตนเองด้วยเช่นกัน

หลายคนที่ไม่เคยได้ยินคำนี้ก็อาจจะไม่เข้าใจว่า ลูกน้องจะไปบริหารเจ้านายได้อย่างไร คำตอบก็คือ บริหารได้ครับ การบริหารเจ้านายไม่ได้แปลว่า เราจะไปสั่งการหัวหน้าของเราให้ทำนั่น นี่ โน่น นะครับ แต่เป็นการบริหารจัดการความเข้าใจระหว่างกัน การบริหารความสัมพันธ์ในการทำงานระหว่างกันมากกว่า

ปกติแล้วลูกน้องที่บริหารเจ้านายได้ดี จะมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันในการทำงาน ทำงานเข้าขากันได้ดี สามารถดึงเอาจุดแข็งของนายมาใช้ และอุดจุดอ่อนของนายได้ด้วยการใช้จุดแข็งของเรา และความสามารถในการทำงานของเราเข้าไปช่วยได้

แนวทางในการบริหารเจ้านาย

  • ทำความเข้าใจบริบทในการทำงานของนายให้ชัดเจน ต้องเข้าใจให้ได้ว่า นายของเรามีภาระหน้าที่อะไร และได้รับมอบหมายงานอะไร เป้าหมายคืออะไรจากนายของนาย และที่สำคัญก็คือ นายของเรามีความกดดันในการทำงานในเรื่องอะไรบ้าง ตรงนี้เราสามารถสังเกตได้จากบรรยากาศในการทำงานกับนาย รวมทั้งเวลาที่มีประชุมงานร่วมกัน ก็สามารถบอกได้ว่า นายของเรามีแรงกดดันจากเรื่องอะไร
  • ทำความเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของนาย สิ่งถัดไปในการบริหารเจ้านายก็คือ จะต้องทำความเข้าใจจุดแข็ง และจุดอ่อนของเจ้านายให้ได้ อะไรคือสิ่งที่นายของเราเก่งมาก และทำได้ดี อะไรที่นายของเรามีจุดอ่อน คนเราไม่ได้เก่งไปหมดทุกเรื่องแน่นอน ทุกคนต้องมีจุดแข็งและจุดอ่อนเสมอ
  • ทำความเข้าใจสไตล์การทำงานของนาย ต่อไปก็คือ ต้องเข้าใจวิธีคิด และวิธีการทำงานของนาย รวมทั้งสไตล์การทำงานของเจ้านายของเราให้ได้ นายบางคนเป็นประเภทลงรายละเอียดเยอะมาก บางคนเป็นประเภทบอกแค่เป้าหมาย จากนั้น ลูกน้องต้องไปลงรายละเอียดให้ บางคนเป็นพวกชอบติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด บางคนก็นานๆ ตามที ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เราจะต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ เพื่อที่จะได้บริหารเจ้านายได้อย่างดี
  • ประเมินตนเอง สิ่งต่อไปก็คือ เราต้องประเมินตนเองว่า เราเองมีจุดแข็ง จุดอ่อนในเรื่องใดบ้างในการทำงาน โดยอาศัย แบบทดสอบก็ได้ หรืออาศัย Feedback ที่เคยได้รับจากเจ้านาย หรือจากเพื่อนร่วมงาน ฯลฯ มาพิจารณา
  • หาจุดร่วมที่ดีที่สุด จากนั้นก็ให้พิจารณาหาจุดร่วมในการทำงานที่ดีที่สุด ระหว่างเรากับเจ้านายของเรา เมื่อเราเข้าใจจุดแข็งของนาย ถ้าเราสามารถส่งเสริมให้นายทำงานโดยใช้จุดแข็งของเขาได้อย่างดีแล้ว ผลงานของนายก็จะดี แล้วนายก็จะมองเราว่ามีผลงานที่ดีเช่นกัน นอกจากนั้น ช่วยอุดจุดอ่อนของนาย เช่น นายเราไม่ค่อยลงรายละเอียด ซึ่งอาจจะเกิดความผิดพลาดได้ข้อปลีกย่อย เราก็สามารถที่จะลงรายละเอียดเหล่านั้นแทนนายเราได้ เพื่อเป็นการอุดช่องว่างระหว่างกันตรงนี้

ถ้าเราทำได้อย่างที่กล่าวมาข้างต้น เราก็จะสามารถบริหารเจ้านายของเราได้อย่างดี ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรา กับเจ้านายก็จะดีขึ้นตามลำดับ ทั้งในด้านการทำงาน และความสัมพันธ์ระหว่างกัน

จะเห็นได้ว่า การบริหารเจ้านายนั้น ก็คือ การบริหารความเข้าใจ และความสัมพันธ์อันดี ในการทำงานร่วมกัน ถ้าลูกน้อง และพนักงานคนไหนที่เข้าใจวิธีการบริหารเจ้านายในลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น รับรองได้ว่า เราจะกลายเป็นมือขวาคนสำคัญของเจ้านาย และไม่ว่าเราจะไปทำงานกับเจ้านายคนไหน ก็จะกลายเป็นคนสำคัญของนายทุกคน

15.6.66

พิธีไหว้ครู

 พิธีไหว้ครู

ในพานพิธีวันไหว้ครู   มักจะประกอบไปด้วย ธูป เทียน และดอกไม้ ซึ่งดอกไม้ ที่ขาดไม่ได้ในพานไหว้ครู คือ ดอกมะเขือ หญ้าแพรก ข้าวตอก และดอกเข็ม ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มีความหมายเป็นปริศนาธรรมทั้งสิ้น

ดอกมะเขือ เป็นดอกที่โน้มต่ำลงมาเสมอ ไม่ได้เป็นดอกที่ชูขึ้น คนโบราณจึงกำหนดให้เป็นดอกไม้สำหรับไหว้ครู ไม่ว่าจะเป็นครูดนตรี ครูมวย ครูสอนหนังสือ ก็ให้ใช้ดอกมะเขือนี้ เพื่อศิษย์จะได้อ่อนน้อมถ่อมตน พร้อมที่จะเรียนวิชาความรู้ต่างๆ  นอกจากนี้มะเขือยังมีเมล็ดมาก ไปงอกงามได้ง่ายในทุกที่   เช่นเดียวกับหญ้าแพรก

หญ้าแพรก เป็นหญ้าที่เจริญงอกงาม  แพร่กระจายพันธ์ ไปได้อย่างรวดเร็วมาก หญ้าแพรกและดอกมะเขือในวันไหว้ครูจึงมีความหมายซ่อนเร้นอยู่ คนโบราณจึงถือเอาเป็นเคล็ดว่า ถ้าใช้หญ้าแพรกดอกมะเขือไหว้ครูแล้ว  สติปัญญาของเด็กจะเจริญงอกงามเหมือนหญ้าแพรกและ ดอกมะเขือนั่นเอง

ดอกเข็ม   เพราะดอกเข็มนั้นมีปลายแหลม สติปัญญาจะได้แหลมคมเหมือนดอกเข็ม และก็อาจเป็นได้ว่า เกสรดอกเข็มมีรสหวาน การใช้ดอกเข็มไหว้ครู วิชาความรู้จะให้ประโยชน์กับชีวิต ทำให้ชีวิตมีความสดชื่นเหมือนรสหวานของดอกเข็ม

ข้าวตอก   เป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย แม้ว่าโดยธรรมชาติแล้วคนเรามักจะมีความซุกซน ความเกียจคร้าน เป็นสมบัติมากบ้าง น้อยบ้างก็ตาม เมื่อมีความต้องการศึกษาหาความรู้ เขาก็ต้องรู้จักควบคุมตนเองให้อยู่ในกรอบ ในระเบียบหรือในกฎเกณฑ์ที่สถาบันได้กำหนดไว้   ใครก็ตามหากตามใจตนเอง  ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ บุคคลนั้นก็จะเป็นเหมือนข้าวเปลือกที่ถูกคั่ว แต่ไม่มีโอกาสได้เป็นข้าวตอก

          เรื่องราวของวันไหว้ครูอย่าลืมแวะกลับไปเยี่ยมครูเก่าๆ ที่เคยสั่งสอนเราก็ได้ กลับไปเยี่ยม ถามไถ่สารทุกข์ดิบกันเล็กน้อย อย่างน้อยท่านก็เป็นคนหนึ่งที่พาเราเดินไปสู่ทางแห่งความสำเร็จ

9.5.66

พระครูโพธาภิรัตบุญมาก

ดูสิ่งใดไม่เห็นสิ่งนั้น ๒๕๔๓ 1

ดูสิ่งใดไม่เห็นสิ่งนั้น ๒๕๔๓ 2

กำหนดปัจจุบัน เท่าทันผัสสะ1

กำหนดปัจจุบัน เท่าทันผัสสะ2

กำหนดปัจจุบัน เท่าทันผัสสะ3

กง กำ ดุม ธรรมจักร1

กง กำ ดุม ธรรมจักร2

ความรู้ที่บริสุทธิ์1

ความรู้ที่บริสุทธิ์2

ของจริงที่ควรรู้๒๕๔๓1

ของจริงที่ควรรู้๒๕๔๓ 2



30.4.66

เรียนรู้จากการทำงาน

เรียนรู้จากการทำงาน

 หนังสือ Driving Performance Through Learning : Using L&D to Improve Performance, Productivity and Profits (2019)  บอกว่าพนักงานเรียนจากการทำงานได้มากกว่าการไปเข้ารับการฝึกอบรม    โดยที่การเรียนรู้จะเกิดอย่างมีพลัง ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน 

เป็นหนังสือที่เน้นให้คำแนะนำแก่ผู้ปฏิบัติงานในหน่วย L&D (Learning and Development) ขององค์กร    โปรดสังเกตนะครับ ว่าองค์กรสมัยใหม่เขามีหน่วย L&D   เพื่อเน้นหนุนให้การปฏิบัติงานเป็นการเรียนรู้ไปในตัว    และหนังสือเล่มนี้แนะนำว่า ให้ใช้หลักการ 70:20:10 ในเรื่องการพัฒนาบุคลากร

ผมตีความว่า เขาเรียกหน่วย L&D ในชื่อที่โก้หรูว่า Academy  เช่น SCB Academy   

ร้อยละ ๗๐ ของการเรียนรู้ มาจากการปฏิบัติงานของตนเอง   ร้อยละ ๒๐ มาจากการได้รับโค้ชชิ่ง   เพียงร้อยละ ๑๐ เท่านั้นที่ได้จากการไปเข้ารับการอบรมในหลักสูตรฝึกอบรมต่างๆ     เขาบอกว่าธุรกิจจะก้าวหน้าได้ในยุคปัจจุบันต้องมุ่งพัฒนาบุคลากรโดยใช้หลักการนี้    หรือกล่าวใหม่ว่า องค์กรต้องมี ยุทธศาสตร์การเรียนรู้ (learning strategy)   

 หน่วย L&D จึงต้องมีสมรรถนะในการหนุนให้การทำงานประจำเกิดการเรียนรู้    โดยจัดให้มี ทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้ (learning resource) ให้บริการแก่ผู้ปฏิบัติงาน     เน้นให้เกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติงาน    เป็นการเรียนรู้ที่ก่อผลดีต่อทั้งตัวบุคคล และต่อหน่วยงานหรือต่อการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพของผลงาน   

เขาแนะนำว่า หน่วย L&D ต้องทำตัวหรือมีวิธีทำงานคล้าย Start-up   คือกล้าทำต่างจากแนวทางเดิมๆ  กล้าเสี่ยงต่อความล้มเหลว    หรือกล่าวใหม่ว่า พร้อมที่จะเรียนรู้จากความล้มเหลว    และทำหน้าที่สร้างวัฒนธรรมนี้ขึ้นในองค์กร    เพื่อให้องค์กรเป็นที่รวมของพนักงานที่เป็น “ผู้เรียนรู้เร็วที่สุด” (the fastest learner)    เพราะนี่คือปัจจัยแห่งความสำเร็จในยุคปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของกิจกรรม L&D คือหาประเด็น หรือปัญหาที่ต้องแก้ให้พบ โดยทำ learning need analysis    แล้วกำหนดกลยุทธ    เพื่อจัดตั้ง agile team ใช้ design thinking, lean process และอื่นๆ ในการแก้ปัญหาในระดับปรับ working platform ใหม่    ในรูปแบบของการปรับไปเรียนรู้ไป    ทำไปวัดผลไปปรับไป เป็นวงจร    และต้องมีการวัดผลกระทบจากระบบ L&D ว่าก่อประโยชน์ต่อองค์กรอย่างคุ้มค่าหรือไม่    การวัดผลกระทบนี้ทำไม่ง่าย แต่ต้องทำ   

เขาแนะนำเครื่องมือ Learning canvas สำหรับใช้กำหนดแผนอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนที่มองเห็นด้วยสายตา   

เป้าหมายของระบบ L&D คือ    จัดการเรียนรู้ให้ ถูกคน  ถูกเรื่อง ถูกเวลา    คือไม่ทำอย่างเปะปะ   แต่ทำอย่างมีเป้าหมาย    และรู้จักใช้ของฟรี ที่เรียกว่า open learning resource ที่อยู่บนพื้นที่ไซเบอร์    โดยทีม L&D ขององค์กรคอยค้นหา และคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน   เอามาจัดไว้ในระบบ organization learning resource ให้พนักงานค้นหาได้สะดวก   

ทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้สำคัญอีกอย่างหนึ่งขององค์กร คือ พื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (sharing resource)    ทำโดยสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ขึ้นในองค์กร   ที่เขาไม่เอ่ยคำว่า KM แต่จริงๆ แล้วก็คือการประยุกต์ใช้ KM นั่นเอง 

เครื่องมือสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ โค้ชชิ่ง    ที่เขาแนะนำว่า ต้องบูรณาการอยู่ในการปฏิบัติงานนั้นเอง   และทำกันจนเป็นนิสัย หรือเป็นวัฒนธรรมองค์กร    ทำกันในทุกระดับ เริ่มตั้งแต่ผู้บริหารสูงสุด เป็นโค้ชของผู้บริหารระดับต่อๆ ลงมา    และต้องไม่ลืมใช้ประโยชน์จากความผิดพลาด เพื่อการเรียนรู้           

เขาเตือนว่า ต้องสะท้อนคิดเรื่องบริบทหรือระบบนิเวศที่กำลังเผชิญ   และนำมาประยุกต์ใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางระบบ L&D ขององค์กร 

ผมสะท้อนคิดว่า    เขาลืมเรื่องสำคัญ สำหรับใช้ในการเรียนรู้ส่วนร้อยละ ๗๐ หรือการเรียนรู้จากการทำงาน    คือเรื่อง Kolb’s Experiential Learning Cycle และ Double-Loop Learning    ซึ่งเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้กลับทาง   คือใช้การปฏิบัติงานเป็นตัวช่วยให้ได้เรียนรู้หลักการ (concept)   ที่เป็นเส้นทางแห่งปัญญา 

วิจารณ์ พานิช

๒๒ ธ.ค. ๖๕

2.6.65

กิจกรรมโรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนลองวิทยา

 กิจกรรมโรงเรียนวิถีพุทธ  โรงเรียนลองวิทยา อำเภอลอง จังหวัดแพร่

*****************************

         โรงเรียนวิถีพุทธ คือ  กระบวนการพัฒนาผู้เรียน ด้านการเรียนรู้ทั้งในด้านความประพฤติ (ศีล)  จิตใจ ( สมาธิ)  และปัญญา ( ปัญญา)   เพื่อความเจริญงอกงามในทุกขั้นตอนของชีวิต    โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกิน อยู่ ดู ฟัง ในชีวิตประจำวันที่มีสติสัมปชัญญะคอยกำกับ   เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาตนจนเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคม ประเทศชาติ และสิ่งแวดล้อมให้เจริญสืบต่อไป  

         มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะฝึกฝนและพัฒนาได้  ประกอบกับวิเคราะห์ผู้เรียนว่ามีสติปัญญา อุปนิสัย ความพร้อมและภูมิหลังที่แตกต่างกัน  การพัฒนาจึงเน้นที่ตัวผู้เรียนแต่ละคนเป็นสำคัญ   "การศึกษาเพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์"

กิจกรรมในโรงเรียนวิถีพุทธ

Google

- กิจกรรมหน้าเสาธงภาคเช้า

- กิจกรรมหนึ่งนาทีชีวีมีสุข *เริ่มต้นทุกคาบเรียนในแต่ละวัน 1 นาที

- ฐานเรียนรู้ในแนววิถีพุทธสู่ความพอเพียง *วันอังคารคาบเรียนที่ 1 ทุกสัปดาห์

- เก็บได้คืนเจ้าของ

- อบรมนักเรียนแกนนำวิถีพุทธ

- ฐานสวดมนต์ทำวัตร

- ฐานมหาศาสดาโลก

- ฐานโยคะ

- ฐานตักบาตรฟังธรรม

- ฐานเรียนรู้สติมาปัญญาเกิด

- ห้องเรียนไตรสิกขามาบูรณาการในรายวิชา

- ส่งเสริมเรียนรู้วัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น

- เทศน์มหาชาติ

- มาฆบูชารำลึก

- วิสาขบูชา

- ถวายเทียนจำนำพรรษา

- ตักบาตรเข้าพรรษาและแสดงตนแป็นพุทธมามกะ

ค่ายพาน้องพบธรรม

- อบรมคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน หลักชาวพุทธ

- อบรมเชิงปฏิบัติการและวิปัสสนากรรมฐานบุคลากรในโรงเรียนปีละ 1 ครั้ง

- ศึกษาดูงานโรงเรียนรุ่งอรุณ

- ประเมินผลกิจกรรมวิถีพุทธและเทศนา

- หลักไตรสิกขา

- แนวการสอนแบบวิถีพุทธ



ภาพประกอบ : https://photos.app.goo.gl/f1fF3kpjG7XNJDB9A

https://docs.google.com/document/d/1qxNykMz


23.3.65

พสน.

 หลักสูตรการฝึกอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมสวามประพฤตินักเรียนและนักศึกษา(พสน.)

(จำนวน ๓ วัน)

วันที่หนึ่ง 

  • Pre-test

  • ลงทะเบียน

  • พิธีเปิด/บรรยายพิเศษ

  • พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๓๖

  • บทบาทของกระทรวงศึกษาธิการในการส่งเสริมความประพฤติการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความนักเรียนและนักศึกษาและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

วันที่สอง

  • ความรู้เบื้องตันเกี่ยวกับการใช้วิทยุสื่อสาร

  • การฝึกปฏิบัติงานในหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียน

  • การฝึกปฏิบัติงานในหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา (ต่อ)

วันที่สาม

  • รายงานผลการฝึกปฏิบัติงานในหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา

  • การบูรณาการองค์กรเครือข่ายในการส่งเสริมการจัดตั้งองค์กรเครือข่ายความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา

  • อภิปรายผล สรุปข้อเสนอแนะ 

  • Post-test

  • มอบวุฒิบัตรและพิธีปิด

* กำหนดการนี้อาจเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม


2.3.65

ค้นหาตนเอง

 ค้นหาตนเอง

********************************

ค้นหาตนเอง เส้นทางสู่อนาคต  http://ez.eduzones.com/test/

แบบทดสอบความถนัดทางอาชีพ  https://www.dek-d.com/quiz/funnyquiz/333477/

C:\Users\Sungmen\My Drive\000WorkWeerachai\images.png


เดินไปกับอีกสองคน

C:\Users\Sungmen\My Drive\0บริหารการศึกษา\0000ขงจื้อ\ขงจื้อ.jpg

“ เดินไปกับอีกสองคน ย่อมมีครูเราอยู่ด้วย เลือกข้อดีของเขาแล้วเอาอย่าง พิจารณาข้อบกพร่องของเขาแล้วปรับปรุงตน”.....ขงจื้อกล่าวไว้


1.3.65

กินข้าวหม้อเดียวกัน

 กินข้าวหม้อเดียวกัน

 

กินข้าวหม้อเดียวกัน เป็นสำนวน  มีความหมายว่า  กินข้าวที่หุงในหม้อใบเดียวกัน สำนวนนี้มาจากพฤติกรรมของคนที่อยู่เป็นครอบครัว  ย่อมจะกินข้าวจากหม้อที่หุงครั้งเดียวในแต่ละมื้อ  บางคนกินวันละมื้อเดียว แต่บางคนก็กินหลายมื้อ  คนที่กินข้าวจากหม้อเดียวกัน  คือ  คนในครอบครัวเดียวกัน  ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเล็กที่มีเพียง พ่อ แม่ ลูก หรือครอบครัวใหญ่ที่มีปู่ย่าตายาย และลุงป้าน้าอา อยู่ด้วย ก็ตาม 

  คนในครอบครัวเดียวกันควรรักใคร่สมัครสมานสามัคคีกัน  ไม่แตกแยกทะเลาะเบาะแว้งกัน    ในบางครั้งอาจนำคำว่า กินข้าวหม้อเดียวกันมาใช้เป็นสำนวน  ในความหมายที่กว้างขึ้น   หมายถึง คนที่อยู่ในคณะเดียวกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน และผูกพันกันอย่างใกล้ชิดเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน  เช่น  เราเป็นลิเกคณะเดียวกันบทบาทคนละบทบาท  กินข้าวหม้อเดียวกันก็ต้องรักใคร่กลมเกลียวกัน


ซุนกวน

 ซุนกวน

  ซุนกวน  เป็นผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดในสามก๊ก สืบทอดอำนาจมาจากพ่อและพี่ชาย มีความสามารถในการบริหารผสมผสานทีมงานต่างรุ่นตั้งแต่รุ่นเก่าไปจนถึงคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัวและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งรักษาความเข้มแข็งของก๊กที่รวมเหล่าเก่งไว้มากมาย ทั้งขุนพล แม่ทัพ และที่ปรึกษา มากกว่าผู้นำคนใดในสามก๊ก ถึงกับได้รับการยกย่องจากโจโฉว่า มีลูกชายต้องมีให้ได้อย่างซุนกวน    

  ซุนกวน เป็นผู้นำที่มีศักยภาพ จุดเด่นจึงไม่ได้อยู่ที่การนำทัพออกรบ แต่เน้นการบริหารทีมงานให้เกิดความสามัคคี ด้วยนโยบายการบริหารคน คือ วัดคนที่ความสามารถ ไม่ถือรุ่น ไม่ถืออายุ รู้จุดเด่นจุดด้อยของลูกน้อง ส่งเสริมการพัฒนาตนเอง ดังนั้น แนวทางการบริหารของซุนกวนจึงต่างจากผู้นำเผด็จการของโจโฉ และแบบของเล่าปี่ที่มีขงเบ้งเป็นซีอีโอ   ตรงที่ซุนกวนจะให้มีการประชุมขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู้ เปรียบเสมือนคณะที่ปรึกษา โดยให้ทุกฝ่ายนำข้อมูลเหตุผลมาวิพากษ์วิจารณ์และถกประเด็นกัน ส่วนการตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของซุนกวน แต่ด้วยจุดอ่อนที่เป็นคนตัดสินใจไม่เด็ดขาด โดยเฉพาะเมื่อเจอกับเหตุการณ์คับขัน และต้องแบกรับภาระดูแลกิจการของครอบครัวไม่ให้ล้มละลาย การตัดสินใจจึงต้องตั้งอยู่บนเงื่อนไขความอยู่รอดเป็นหลัก ทำให้ไม่มีทิศทางการเมืองที่ชัดเจน หวังเพียงแค่จะปรับตัวเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ที่พลิกผันตลอดเวลา


เล่าปี่

 เล่าปี่

  เล่าปี่ เป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์โชกโชน มีสายตาอันแหลมคมเป็นที่ประจักษ์ ถือได้ว่าเป็นเลิศในสามก๊ก สามารถอ่านคนทะลุถึงศักยภาพภายใน ชี้จุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละคนออกมาได้อย่างชัดเจน    เล่าปี่ทำค่อยเป็นค่อยไป กองทัพของเล่าปี่เปรียบเสมือนกองทัพเอสเอ็มอี ที่ให้ญาติพี่น้องมาช่วยกันบริหารในแต่ละฝ่าย และกล้าที่จะใช้คน นั่นคือ ขงเบ้ง ที่เก่งทางด้านการบริหาร การจัดรูปแบบ และการจัดการองค์กรให้เหมาะสมกับลักษณะงานต่างๆ สามารถมองอนาคต มีวิสัยทัศน์ และวิเคราะห์ข้อมูลที่แม่นยำ เป็นการบริหารงานอย่างมีระบบ ต่างจากแบบเดิมที่เป็นระบบเถ้าแก่หรือระบบครอบครัวของเล่าปี่    ถึงแม้ว่าเล่าปี่จะล้มลุกคลุกคลานครึ่งชีวิต พ่ายแพ้ศึกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ที่สามารถประสบความสำเร็จในบั้นปลายด้วยจุดเด่นคือ ความเชื่อมั่นในความสามารถของลูกน้อง สร้างบารมีด้วยคุณธรรมจนเป็นที่เคารพนับถือของลูกน้องและคนในปกครอง มัดใจด้วยใจ ทำให้ได้ลูกน้องที่จงรักภักดีมากมาย   ความสำเร็จมาจากพื้นฐานง่ายๆ คือ ยึดมั่นในคุณธรรมและเมตตาธรรม ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ 


โจโฉ

โจโฉ

โจโฉ เป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ เก่งทั้งบุ๋นและบู๊    ความสามารถของโจโฉได้รับการยอมรับทั้งด้านวรรณกรรมและการเมืองทหาร โจโฉ มีอารมณ์ขันแอบซ่อนอยู่ในความเหี้ยมโหด และด้วยนิสัยขี้เล่นมีอารมณ์ขันอย่างตรงไปตรงมา จึงมีส่วนช่วยให้โจโฉประสบความสำเร็จในทางการเมือง   โจโฉเน้นเรื่องการบริหารคน    เพราะบุคลากรที่มีคุณภาพเปรียบเสมือนเป็นทรัพยากรสำคัญขององค์กร    จึงคัดเลือกคนที่มีความสามารถและจัดคนให้เหมาะกับงานที่มอบหมาย โดยไม่ถืออคติต่อภูมิหลัง ไม่ยึดหลักศักดินา ไม่ยึดพวกพ้องเครือญาติ ขอแค่เป็นคนที่มีความสามารถไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่วก็จะเปิดโอกาสให้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ 

ทำให้ลูกน้องตื่นตัวตลอดเวลา   มีการแข่งขันกันสูง เพราะเต็มไปด้วยคนเก่ง และใช้เกณฑ์การประเมินที่ยุติธรรม ด้วยการวัดจากผลงาน ใครทำถูกใจก็ได้ความดีความชอบไป   ใครผิดพลาดก็ถูกลงโทษ นอกจากนี้ยังรู้จักใช้จิตวิทยาจัดการกับลูกน้อง ทำให้โจโฉได้ใจลูกน้อง  เป็นผู้ปกครองที่เปรื่องปราด เป็นอัจฉริยบุคคลด้านการทหาร มีบารมีหาที่เปรียบมิได้ ปฏิบัติต่อผู้ใต้บัญชาดุจครอบครัวของตัวเอง  โจโฉมีทั้งกุนซือและยอดขุนพลมากที่สุด  แต่ด้วยเหตุที่ต้องการผลสำเร็จเป็นสำคัญ  ทำให้โจโฉต้องติดภาพเหี้ยมโหดไปโดยปริยาย


6.2.65

onet

วิธีการทำงานของคณะกรรมการระดับสนามสอบและกรรมการคุมสอบ 

(V-NET / N-NET / I-NET / B-NET)




24.11.64

CPA

CPA (Concrete-Pictorial-Abstract)

1. Concrete (จับต้องได้) 

2. Pictorial (เห็นเป็นภาพ)

3. Abstract (สัญลักษณ์) 

จากรูปภาพอธิบายที่นำเอาหลักการของ CPA เข้ามาใช้ 
        1. Concrete เป็นช่วงเวลาของการสอนแรก หรือบางครั้งก็เอาไปเป็น ขั้นนำ ของการสอน โดยการมีโจทย์ปัญหาและของให้นักเรียนลองจับต้องเล่นกัน เพื่อแก้ปัญหานั้น   โดยเรายังไม่สอนวิธีการใดๆ
       2. Pictorial  พอนักเรียนเริ่มที่จะรู้วิธีหาคำตอบแล้ว แต่อาจจะยังไม่ตรงกับสิ่งที่เราจะสอน เราใช้ช่วงนี้ในการแปลงประสบการณ์ของจริงมาเป็นภาพในนามธรรมมากขึ้น
       3. Abstract  เป็นการคำนวณแบบตัวเลข หรือข้อความ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำเป็นส่วนใหญ่ 

แหล่งที่มา 
https://www.scimath.org/article-mathematics/item/11483-2020-04-21-07-43-06
http://teacherjak.blogspot.com/2016/11/Reflection1CPA.html