ศึกษาเรียนรู้

30.4.66

เรียนรู้จากการทำงาน

เรียนรู้จากการทำงาน

 หนังสือ Driving Performance Through Learning : Using L&D to Improve Performance, Productivity and Profits (2019)  บอกว่าพนักงานเรียนจากการทำงานได้มากกว่าการไปเข้ารับการฝึกอบรม    โดยที่การเรียนรู้จะเกิดอย่างมีพลัง ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน 

เป็นหนังสือที่เน้นให้คำแนะนำแก่ผู้ปฏิบัติงานในหน่วย L&D (Learning and Development) ขององค์กร    โปรดสังเกตนะครับ ว่าองค์กรสมัยใหม่เขามีหน่วย L&D   เพื่อเน้นหนุนให้การปฏิบัติงานเป็นการเรียนรู้ไปในตัว    และหนังสือเล่มนี้แนะนำว่า ให้ใช้หลักการ 70:20:10 ในเรื่องการพัฒนาบุคลากร

ผมตีความว่า เขาเรียกหน่วย L&D ในชื่อที่โก้หรูว่า Academy  เช่น SCB Academy   

ร้อยละ ๗๐ ของการเรียนรู้ มาจากการปฏิบัติงานของตนเอง   ร้อยละ ๒๐ มาจากการได้รับโค้ชชิ่ง   เพียงร้อยละ ๑๐ เท่านั้นที่ได้จากการไปเข้ารับการอบรมในหลักสูตรฝึกอบรมต่างๆ     เขาบอกว่าธุรกิจจะก้าวหน้าได้ในยุคปัจจุบันต้องมุ่งพัฒนาบุคลากรโดยใช้หลักการนี้    หรือกล่าวใหม่ว่า องค์กรต้องมี ยุทธศาสตร์การเรียนรู้ (learning strategy)   

 หน่วย L&D จึงต้องมีสมรรถนะในการหนุนให้การทำงานประจำเกิดการเรียนรู้    โดยจัดให้มี ทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้ (learning resource) ให้บริการแก่ผู้ปฏิบัติงาน     เน้นให้เกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติงาน    เป็นการเรียนรู้ที่ก่อผลดีต่อทั้งตัวบุคคล และต่อหน่วยงานหรือต่อการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพของผลงาน   

เขาแนะนำว่า หน่วย L&D ต้องทำตัวหรือมีวิธีทำงานคล้าย Start-up   คือกล้าทำต่างจากแนวทางเดิมๆ  กล้าเสี่ยงต่อความล้มเหลว    หรือกล่าวใหม่ว่า พร้อมที่จะเรียนรู้จากความล้มเหลว    และทำหน้าที่สร้างวัฒนธรรมนี้ขึ้นในองค์กร    เพื่อให้องค์กรเป็นที่รวมของพนักงานที่เป็น “ผู้เรียนรู้เร็วที่สุด” (the fastest learner)    เพราะนี่คือปัจจัยแห่งความสำเร็จในยุคปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของกิจกรรม L&D คือหาประเด็น หรือปัญหาที่ต้องแก้ให้พบ โดยทำ learning need analysis    แล้วกำหนดกลยุทธ    เพื่อจัดตั้ง agile team ใช้ design thinking, lean process และอื่นๆ ในการแก้ปัญหาในระดับปรับ working platform ใหม่    ในรูปแบบของการปรับไปเรียนรู้ไป    ทำไปวัดผลไปปรับไป เป็นวงจร    และต้องมีการวัดผลกระทบจากระบบ L&D ว่าก่อประโยชน์ต่อองค์กรอย่างคุ้มค่าหรือไม่    การวัดผลกระทบนี้ทำไม่ง่าย แต่ต้องทำ   

เขาแนะนำเครื่องมือ Learning canvas สำหรับใช้กำหนดแผนอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนที่มองเห็นด้วยสายตา   

เป้าหมายของระบบ L&D คือ    จัดการเรียนรู้ให้ ถูกคน  ถูกเรื่อง ถูกเวลา    คือไม่ทำอย่างเปะปะ   แต่ทำอย่างมีเป้าหมาย    และรู้จักใช้ของฟรี ที่เรียกว่า open learning resource ที่อยู่บนพื้นที่ไซเบอร์    โดยทีม L&D ขององค์กรคอยค้นหา และคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน   เอามาจัดไว้ในระบบ organization learning resource ให้พนักงานค้นหาได้สะดวก   

ทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้สำคัญอีกอย่างหนึ่งขององค์กร คือ พื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (sharing resource)    ทำโดยสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ขึ้นในองค์กร   ที่เขาไม่เอ่ยคำว่า KM แต่จริงๆ แล้วก็คือการประยุกต์ใช้ KM นั่นเอง 

เครื่องมือสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ โค้ชชิ่ง    ที่เขาแนะนำว่า ต้องบูรณาการอยู่ในการปฏิบัติงานนั้นเอง   และทำกันจนเป็นนิสัย หรือเป็นวัฒนธรรมองค์กร    ทำกันในทุกระดับ เริ่มตั้งแต่ผู้บริหารสูงสุด เป็นโค้ชของผู้บริหารระดับต่อๆ ลงมา    และต้องไม่ลืมใช้ประโยชน์จากความผิดพลาด เพื่อการเรียนรู้           

เขาเตือนว่า ต้องสะท้อนคิดเรื่องบริบทหรือระบบนิเวศที่กำลังเผชิญ   และนำมาประยุกต์ใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางระบบ L&D ขององค์กร 

ผมสะท้อนคิดว่า    เขาลืมเรื่องสำคัญ สำหรับใช้ในการเรียนรู้ส่วนร้อยละ ๗๐ หรือการเรียนรู้จากการทำงาน    คือเรื่อง Kolb’s Experiential Learning Cycle และ Double-Loop Learning    ซึ่งเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้กลับทาง   คือใช้การปฏิบัติงานเป็นตัวช่วยให้ได้เรียนรู้หลักการ (concept)   ที่เป็นเส้นทางแห่งปัญญา 

วิจารณ์ พานิช

๒๒ ธ.ค. ๖๕

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น