แนวทางการลงโทษทางวินัย
ลักษณะแห่งความผิดไม่ร้ายแรง ได้แก่ ฐานความผิดดังต่อไปนี้
1. ฐานความผิด“ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม” เช่น
1.1 ปฏิบัติหน้าที่การเงินและบัญชี จัดทำหลักฐานการเบิกเกินกว่าจำนวนวันที่ลูกจ้าง
มาปฏิบัติงานแล้วนำเงินส่วนที่เกินไปซื้อวัสดุอุปกรณ์ใช้ในราชการ (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
1.2 ไม่ปฏิบัติงานตามลำดับที่ที่ลงรับไว้ในทะเบียนรับเรื่องโดยลัดคิวให้แก่บุคคลอื่น
(โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
1.3 เลื่อนการจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงของเจ้าหน้าที่ผู้ขอเบิกออกไป 1 เดือน แล้วนำเงินจำนวน
ดังกล่าว ไปซื้อวัสดุสำนักงานของราชการ ภายหลังได้นำเงินมาจ่ายให้เจ้าหน้าที่ครบถ้วนแล้ว (โทษลดขั้นเงินเดือน
1 ขั้น)
1.4 ไม่ชี้แจงข้อขัดข้องแก่ผู้มาติดต่อราชการ กรณีไม่สามารถดำเนินการได้โดยได้คืน
หลักฐานและเงินที่รับไว้แก่ผู้มาติดต่อราชการ (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
2. ฐานความผิด “อาศัยหรือยินยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์
ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น” เช่น
2.1 นำรถยนต์ของทางราชการไปทำธุรกิจส่วนตัวในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ กับไม่ควบคุม
กำกับการนำรถยนต์เก็บเข้าที่ เป็นเหตุให้ลูกจ้างประจำตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์ นำรถคันดังกล่าวไปทำธุรกิจ
ส่วนตัว และประสบอุบัติเหตุแต่เจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ทางราชการและบุคคลภายนอกแล้ว
(โทษภาคทัณฑ์)
2.2 นำเงินส่วนตัวของตนเอง และพรรคพวกให้ข้าราชการ และลูกจ้างกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ย
และอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่เบิกจ่ายเงินเดือนหักเงินกู้จากเงินเดือนของผู้กู้ในแต่ละเดือนทั้งที่มิได้มีการมอบฉันทะ
ให้รับเงินแต่อย่างใด (โทษภาคทัณฑ์)
2.3 นำรถยนต์บรรทุกเล็กของทางราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยขับไปเยี่ยมครอบครัว
ในวันศุกร์แล้วขับกลับในวันอาทิตย์เป็นประจำ (โทษภาคทัณฑ์)
2.4 ใช้โทรสารของทางราชการเวียนจดหมายของบริษัทโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วยสิ่งพิมพ์
อันมีลักษณะเป็นธุรกิจส่วนตัว (โทษตัดเงินเดือน5%เป็นเวลา2เดือน)
2.5 ละทิ้งหน้าที่ราชการไป 1 วัน อาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่ควบคุมดูแลสมุดบัญชีการ
ลงเวลามาปฏิบัติราชการ ทำการลงลายมือชื่อมาปฏิบัติราชการในวันดังกล่าว (โทษภาคทัณฑ์)
2.6 ได้ใช้หรือมีส่วนรู้เห็นให้ลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งคนงานไปรดน้ำพรวนดินที่บ้านพักของตน
เป็นครั้งคราว (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 1 เดือน)
2.7 สั่งซื้อสินค้าในนามของทางราชการ เพื่อใช้เป็นการส่วนตัวเมื่อไม่ชำระหนี้ ทำให้เจ้าหนี้
ทวงหนี้มายังส่วนราชการ ภายหลังเจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้ยินยอมรับสภาพหนี้และชดใช้หนี้บางส่วนให้แก่บริษัทฯ ดังกล่าว
แล้ว (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
๒
2.8 นำรถยนต์ของทางราชการไปเยี่ยมญาตินอกเวลาราชการ แต่ขับโดยประมาท
เกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหาย ภายหลังได้ซ่อมรถยนต์ จนใช้งานได้ดีดังเดิมแล้ว (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
3. ฐานความผิด “ไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ราชการ” เช่น
3.1 ไม่ควบคุมดูแลตรวจสอบแบบพิมพ์ว่ามีอยู่ครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ เป็นเหตุให้แบบพิมพ์
สูญหายไป 1 ฉบับ โดยไม่ทราบสาเหตุ (โทษภาคทัณฑ์)
3.2 เจ้าหน้าที่หัวหน้าหน่วยพัสดุไม่ควบคุมดูแลการจัดทำและจัดส่งหนังสือแจ้งความ
ประกวดราคาการจัดซื้อไปยังสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ส่งหนังสือแจ้งความไปยังสถานีวิทยุหลังจาก
ได้มีการยื่นซองประกวดราคาแล้ว ทำให้ไม่มีการประกาศทางสถานีวิทยุ (โทษภาคทัณฑ์)
3.3 ผู้บังคับบัญชาลงนามอนุมัติการลาของลูกจ้างไม่ถูกต้อง โดยดำเนินการเกี่ยวกับใบลา
เพียง 2 ฉบับจากใบลาที่ยื่น 7 ฉบับของลูกจ้างดังกล่าว และปล่อยปละละเลยให้รับเงินค่าจ้างในวันที่ไม่ได้มา
ปฏิบัติงานตามปกติ อีกทั้งอนุมัติให้ลาออกโดยไม่ได้ดำเนินการทางวินัยกรณีไม่มาปฏิบัติราชการแต่อย่างใด
(โทษภาคทัณฑ์)
3.4 ไม่ระมัดระวังทำให้แบบพิมพ์สูญหายไป จำนวน 90 ฉบับ (โทษภาคทัณฑ์)
3.5 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย และหาก
ผู้รับผิดทางแพ่งได้นำสำนวน ซึ่งทำการสอบสวนเสร็จแล้ว ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2532 เก็บไว้ในตู้เอกสาร
เพื่อตรวจสอบความถูกต้องแต่หลงลืม จนเวลาล่วงเลยถึงเดือนมีนาคม 2533 จึงนำออกมาเสนอผู้สั่งแต่งตั้ง
คณะกรรมการสอบสวน (โทษภาคทัณฑ์)
3.6 ได้สั่งราชการทางโทรศัพท์เพื่อให้ผู้มาติดต่อกลับบ้านได้ (โทษภาคทัณฑ์)
3.7 ทำต้นขั้วใบเสร็จรับเงินสูญหาย แต่ปรากฏว่าไม่มีการนำเอกสารที่สูญหายไปใช้ในทาง
มิชอบแต่อย่างใด (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 1 เดือน)
3.8 ไม่ส่งรถเข้าซ่อมให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี และเสียค่าซ่อมน้อยแต่ฝืนนำรถออกไปใช้งาน
จนกระทั่งรถอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถจะใช้งานได้ต่อไป จึงนำมาซ่อมทำให้ค่าซ่อมสูงขึ้น (โทษตัดเงินเดือน 10%
เป็นเวลา 1 เดือน)
3.9 ไม่ทำรายงานอัตรากำลังของข้าราชการส่วนต่างๆ ให้กรมทราบ เมื่อผู้บังคับบัญชา
เร่งรัดก็บอกว่าได้จัดส่งไปแล้ว แต่มากรมฯ เตือน ก็เก็บหนังสือเตือนไว้ไม่แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จนกระทั่ง
จัดทำรายงาน งวดที่ 2 เสร็จ ได้แก้ไขตัวเลขเป็นรายงานงวดที่ 1 ก่อนส่งกรมฯ เพื่อดำ เนินการต่อไป
(โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
3.10 ไม่ตรวจนับจำนวนและหมายเลขแบบพิมพ์ อีกทั้งไม่นำเก็บในตู้เอกสารทันทีที่ได้รับ
ทำให้แบบพิมพ์สูญหาย (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน )
3.11 มอบให้ลูกจ้างชั่วคราวไปถอนเงิน เพื่อใช้ในราชการเพียงลำพังคนเดียว เป็นเหตุให้
ลูกจ้างชั่วคราวทุจริตยักยอกเงินไปจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ยังไม่ได้ทำบันทึกรายการรับจ่ายเงิน ซึ่งเป็นงานในหน้าที่
ทำให้ไม่สามารถทราบได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจนกระทั่ง สตง.ตรวจพบ (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
๓
3.12 ไม่ค่อยอยู่ปฏิบัติหน้าที่มักจะให้ผู้อื่นทำหน้าที่แทนเสมอ ทำให้เกิดการผิดพลาดในการ
ปฏิบัติงานใช้เวลาราชการ และสถานที่ราชการประกอบธุรกิจส่วนตัว ผู้บังคับบัญชาว่ากล่าวตักเตือนหลายครั้ง
แล้วแต่ไม่เชื่อฟัง (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
3.13 ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้ย้ายไปดำรงตำแหน่งใหม่ แต่ไม่ส่งมอบงานในหน้าที่ให้แก่
ผู้มารับหน้าที่ใหม่หลีกเลี่ยงไม่ส่งมอบงานในหน้าที่ภายในระยะเวลาอันสมควร (โทษตัดเงินเดือน10% เป็นเวลา4 เดือน)
3.14 มีงานค้างอยู่ในความรับผิดชอบจำนวน 35 เรื่องผู้บังคับบัญชาให้สะสางงานค้าง
ภายใน 2 เดือนระยะเวลาล่วงเลยไป 4 เดือนยังมีงานค้างอยู่อีก 23 เรื่อง นอกจากนี้ ในการขอลาป่วยไม่เสนอ
หรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาก่อนหรือในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการ (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
4. ฐานความผิด“ไม่อุตสาหะและไม่เอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการ”เช่น
4.1 เจ้าหน้าที่พัสดุ ไม่จ่ายน้ำมันโดยไม่ได้จดเลขมิเตอร์ไว้เป็นหลักฐาน เป็นเหตุให้น้ำมัน
สูญหายไปวันเดียว 470.8 ลิตร โดยไม่ปรากฏมีผู้นำน้ำมันไปหรือจ่ายน้ำมันเกินบัญชี (โทษภาคทัณฑ์)
4.2 ปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ จำนวนตรวจสอบภาษีอากรให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี
นับแต่วันออกหมายเรียก โดยไม่แสดงเหตุผล เพื่อขออนุมัติผู้บังคับบัญชาขยายเวลาตามระเบียบ (โทษภาคทัณฑ์)
4.3 มีหน้าที่ในการเก็บเงินแต่ไม่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชา
อย่างใกล้ชิด เป็นเหตุให้ยักยอกเงินค่าสาธารณูปโภคไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว จำ นวน 47,754 บาท
(โทษภาคทัณฑ์)
4.4 ได้รับเอกสารสัญญารับสภาพหนี้ของผู้ต้องรับผิดทางแพ่งมาดำเนินการต่อแต่ไม่รีบ
ดำเนินการกลับมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ระดับรองลงไปดำเนินการแทนจนกระทั่งบุคคลทั้งสองพ้นจากตำแหน่งไป
ก็ยังไม่มีการบังคับผู้ต้องรับผิด ตามสัญญารับสภาพหนี้ชำระหนี้แต่อย่างใด (โทษภาคทัณฑ์)
4.5 ร่วมกันลงลายมือชื่อในวันตรวจการจ้างซ่อมแซมบ้านพักสองหลังว่าผู้รับจ้างทำการ
ซ่อมถูกต้องแล้ว แต่ปรากฏว่าการซ่อมแซมไม่ถูกต้องตามสัญญา 21 รายการ เป็นเหตุให้ราชการได้รับความ
เสียหาย (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 1 เดือน)
4.6 ลงชื่อในใบเสร็จรับเงินไว้ล่วงหน้า เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่นำไปใช้ประกอบการทุจริตแล้ว
เบียดบังเอาเงินของทางราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
4.7 ได้ร่วมกันตรวจรับงานจ้างไม่เป็นไปตามแบบแปลนที่ระบุไว้ในสัญญา และราชการ
ได้รับความเสียหายภายหลังผู้รับเหมาได้ชดใช้เงินค่าเสียหายคืนให้แก่ทางราชการแล้ว (โทษตัดเงินเดือน 10%
เป็นเวลา 2 เดือน)
4.8 ได้นำแบบพิมพ์บางส่วนไปเก็บรักษาไว้ที่บ้านพักโดยพละการ และปล่อยปละละเลยให้
ถูกปลวกกัดกินเสียหายและไม่รายงานผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแบบพิมพ์เพื่อทำลาย
เอกสารกลับใช้ให้ผู้อื่นเผาแบบพิมพ์ที่ชำรุดดังกล่าวเมื่อเผาแล้วก็ไม่รายงานผู้บังคับบัญชา (โทษตัดเงินเดือน 10%
เป็นเวลา 3 เดือน)
4.9 รับผิดชอบในการขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณค่าก่อสร้างแต่ได้ดำเนินการ
ขอขยายเวลาเบิกเงินงบประมาณไม่ทันกำหนดเวลาเป็นเหตุให้ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้างได้
(โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
๔
5. ฐานความผิด“ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความประมาทเลินเล่อ” เช่น
5.1 แบบพิมพ์สูญหายไปขณะอยู่ในความรับผิดชอบของตน (โทษภาคทัณฑ์)
5.2 มีหน้าที่เก็บรักษาเงินค่าผ่อนส่งรถจักรยานยนต์ และนำ เงินส่งคลังจังหวัด
แต่ได้มอบหมายให้ลูกจ้างประจำนำเงินที่เก็บรักษาไว้ส่งคลังจังหวัดแทน ปรากฏว่าลูกจ้างคนดังกล่าว ได้ถือโอกาส
ยักยอกเงินแล้วหลบหนี้ไป แต่ภายหลังเจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้หาเงินมาส่งใช้คืนครบถ้วนแล้ว (โทษภาคทัณฑ์)
5.3 ขับรถยนต์ของทางราชการ แซงหน้ารถคันอื่นแต่ไม่พ้น เป็นเหตุให้ชนกับรถที่วิ่งสวนมา
ได้รับความเสียหายและมีผู้บาดเจ็บ แต่มาได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่คู่กรณี และซ่อมรถยนต์ของทางราชการใช้การได้
ตามปกติแล้ว (โทษภาคทัณฑ์)
5.4 เจ้าหน้าที่พิมพ์ดีดทำสำนวนที่ส่งมาพิมพ์หายในการส่งมอบไม่ปรากฏหลักฐาน
การรับส่งต่อมาสำนวนนั้นหาไม่พบ แต่กรณียังไม่เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง เนื่องจากสำนวนในคดีที่หา
ไม่พบนั้นถึงที่สุดแล้ว (โทษภาคทัณฑ์)
5.5 ขับรถยนต์ของทางราชการไปปฏิบัติราชการเกิดอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุกสิบล้อสอง
คันซึ่งวิ่งสวนมาในลักษณะจะแซงกัน ทำให้รถยนต์ของทางราชการได้รับความเสียหายและเจ้าหน้าที่ได้ชดใช้
ค่าเสียหายให้แก่ราชการแล้ว (โทษภาคทัณฑ์)
5.6 ขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่เวรประจำสำนักงานได้อ่านหนังสือนอกมุ้งและจุดยากันยุงไว้
เมื่อเข้านอนลืมดับยากันยุงเป็นเหตุให้ไฟลุกไหม้มุ้งและที่นอนทั้งหมดและไหม้ทรัพย์สินของทางราชการเสียหาย
เล็กน้อย (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
6. ฐานความผิด“ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามกฎหมายระเบียบของทางราชการตามมติ
คณะรัฐมนตรีและนโยบายของรัฐบาล”เช่น
6.1 นำเงินส่งเกินกำหนดเวลา (มีการกระทำผิดวินัยเป็นจำนวนมากระดับโทษจะพิจารณา
เป็นรายๆไป)
6.2 แต่งตั้งข้าราชการระดับ 1 เป็นประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ซึ่งไม่เป็นไป
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ กำหนดให้ประธานฯ เป็นข้าราชการตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป
(โทษภาคทัณฑ์)
6.3 ได้ขออนุมัติทำการจ้างเหมาก่อสร้างแล้วให้ผู้ที่เสนอราคาได้ทำงานล่วงหน้าก่อนทำ
สัญญาจ้างเหมา ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2521 (โทษภาคทัณฑ์)
6.4 ระเบียบกำหนดให้ดำเนินการแล้วเสร็จ ภายใน 45 วัน แต่ดำเนินการใช้เวลานานถึง
14 เดือน ก่อนหน้านั้นผู้บังคับบัญชาเรียกมาว่ากล่าวตักเตือนก็ยังเพิกเฉย (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2เดือน)
6.5 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการเก็บรักษาเงินกลับมอบกุญแจ และดวงตราประจำครั่งไว้กับ
เจ้าหน้าที่ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทุจริตเงินค่าธรรมเนียมไป เป็นเงิน 21,115 บาท (โทษตัดเงินเดือน 10%
เป็นเวลา 4 เดือน)
6.6 ลงรับในบัญชีผิดพลาดเงินขาดบัญชีไป 45 บาท และไม่บันทึกรายการรับเงินในบัญชี
เงินสดด้วยเมื่อ สตง. มาตรวจพบจึงไม่นำเงินลงบัญชี (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
๕
7. ฐานความผิด“เปิดเผยความลับของทางราชการ”เช่น
7.1 เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 6 นำความลับเกี่ยวกับการพิจารณาความดีความชอบพิเศษ
2 ขั้น ไปเปิดเผยก่อนที่จะมีคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
7.2 ได้รับคำสั่งให้ทำการตรวจค้น แล้วนำเรื่องการตรวจค้นไปแจ้งให้ผู้ที่จะถูกตรวจค้น
ทราบล่วงหน้า ทำให้การตรวจค้นไม่เป็นผลเท่าที่ควร (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 6 เดือน)
8. ฐานความผิด“ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา”เช่น
8.1 มีหน้าที่อยู่เวรรักษาสถานที่ราชการ เข้ามารับเวรล่าช้าเป็นเหตุให้ไม่มีผู้เชิญธงชาติลง
จากยอกเสา (โทษภาคทัณฑ์)
8.2 นักวิชาการได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ตรวจสอบการรับจ่ายเงินประจำวัน
แต่ไม่ตรวจสอบหลักฐานการรับเงินกับรายการในสมุดเงินสดว่าตรงกันหรือไม่ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่การเงินและ
บัญชี นำค่าเปรียบเทียบปรับไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว (โทษภาคทัณฑ์)
8.3 ไม่ได้มาอยู่เวรในสำนักงาน เนื่องจากไปหามารดาซึ่งป่วยหนักและไม่สามารถกลับมา
อยู่เวรได้ทัน และไม่ได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เพื่อสั่งการให้ผู้อื่นมาอยู่เวรแทนแต่อย่างใด (โทษภาคทัณฑ์)
8.4 เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีไม่ดำ เนินการให้กับผู้มาติดต่อให้แล้วเสร็จภายใน
กำหนดเวลาหนึ่งชั่วโมง โดยไม่มีเหตุผลอันควรทั้งที่ทราบว่าผู้บังคับบัญชาสั่งการเรื่องการเสียภาษีประจำปีให้แล้ว
เสร็จ ภายในหนึ่งชั่วโมง (โทษภาคทัณฑ์)
8.5 ไม่ยอมเข้าพบผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งการด้วยวาจาเพื่อจะสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ
การปฏิบัติหน้าที่ราชการ แต่กรณียังไม่ถึงกับเกิดความเสียหายแก่ราชการ (โทษภาคทัณฑ์)
8.6 ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าของเรื่อง และเป็นเลขานุการคณะทำงาน แต่ได้ทำ
บันทึกข้อความถึงผู้บังคับบัญชา อ้างว่าไม่สันทัดที่จะปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวขอให้มอบหมายงานแก่ผู้อื่นแทน และ
ปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว (โทษภาคทัณฑ์)
8.7 มีหน้าที่อยู่เวรและเป็นหัวหน้าเวรตั่งแต่เวลา08.30–16.30น.แต่มาอยู่เวรเมื่อเวลา
13.30 น. โดยอ้างว่าลืมนอกจากนี้ได้แก้ไขบันทึกสมุดตรวจเวร โดยความยินยอมของผู้ตรวจเวรจากข้อความ
“ไม่พบหัวหน้าเวรเนื่องจากยังมาไม่ถึง”เป็นว่า“ตรวจเวรแล้วเหตุการณ์ทั่วไปปกติ” (โทษภาคทัณฑ์)
8.8 ขณะทำหน้าที่เวรได้ชักชวนเพื่อน ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมานั่งดื่มสุราในบริเวณ
สำนักงานเมื่อผู้บังคับบัญชาห้ามปรามให้เลิกกระทำดังกล่าวและแสดงกิริยาวาจาไม่พอใจผู้บังคับบัญชา
(โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
8.9 เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 6 ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้างานธุรการไม่รายงานเรื่องที่
ลูกจ้างประจำกระทำผิดวินัย ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึง 2 ปีเศษ (โทษตัดเงินเดือน10%
เป็นเวลา 2 เดือน)
8.10 บุคลากร 6 ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบรรจุแต่งตั้ง ถ่ายเอกสารสมุดประวัติของ
ผู้บังคับบัญชาสูงสุดมาเก็บไว้ 1 ชุด ทั้งที่ได้มีคำสั่งห้ามมิให้ถ่ายเอกสารดังกล่าวอย่างเด็ดขาด (โทษตัดเงินเดือน
10% เป็นเวลา 2 เดือน)
๖
8.11 ได้รับคำสั่งให้ไปร่วมปฏิบัติการกับคณะ แต่กลับปฏิเสธและแสดงกิริยาไม่สุภาพ
เอาแฟ้มงานมาโยนใส่โต๊ะทำงานของผู้อำนวยการต่อหน้าผู้ร่วมงานอื่นพร้อมกับพูดว่า“เอาคืนไปไม่ทำ”แล้วเดิน
ออกจากห้องไป (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
8.12 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจสอบสภาพบ้านเช่า แล้วไม่ได้ไปตรวจสภาพบ้านเช่าจริง
แต่ลงนามในรายงานการตรวจว่าอนุญาตให้เช่าได้ (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
8.13 นิติกร 4 ไม่ปฏิบัติตามคำ สั่งกรมฯ ซึ่งสั่งให้กรอกแบบแสดงผลงานตามแบบ
ประจำเดือน โดยอ้างว่าลืม (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
8.14 ไม่ไปร่วมประชุมตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายโดยอ้างว่าท้องเสีย นอกจากนี้ไม่
สามารถปฏิบัติงานได้ตามปริมาณที่กำหนดทำให้งานคั่งค้างจำนวนมาก จนผู้บังคับบัญชาต้องมอบหมายให้ผู้อื่น
ปฏิบัติแทน (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
8.15 รับจ้างทำบัญชีให้ร้านค้า แต่การกระทำไม่ก่อให้เกิดการเลี่ยงการเสียภาษีแต่อย่างใด
(โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
9. ฐานความผิด“รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา”เช่น
9.1 เจ้าหน้าที่ระบบงานคอมพิวเตอร์ได้รับอนุญาตให้ลาไปต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 14
เมษายน - 8 พฤษภาคม 2540 แต่ออกเดินทางไปต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2540 โดยลาพักผ่อนและ
ลาป่วย ซึ่งปรากฏว่าไม่ได้ป่วยจริง แต่ลาเพื่อมิให้ขาดราชการและการไปต่างประเทศในช่วงดังกล่าว มิได้ขออนุญาต
แต่อย่างใด (โทษภาคทัณฑ์)
9.2 รายงานผู้บังคับบัญชาว่านำ รถจักรยานยนต์ออกปฏิบัติหน้าที่ราชการแล้ว
รถจักรยานยนต์สูญหายไป ผลการสืบสวนข้อเท็จจริงปรากฏว่าได้ขับออกไปรับประทานอาหารและทำธุระส่วนตัว
แต่ภายหลังได้ซื้อรถจักรยานยนต์คันใหม่มาชดใช้คืนแก่ทางราชการแล้ว (โทษภาคทัณฑ์)
9.3 ได้ยื่นใบลาต่อผู้บังคับบัญชาในรอบปีงบประมาณจำนวน 31 ครั้ง รวม 69 วัน
เนื่องจากมีภาระดูแลบุตรที่ยังเล็กอยู่ระหว่างการศึกษา 3 คนกับยายอายุ 90 ปี เมื่อบุตรป่วยจึงต้องคอยดูแล และ
บางวันไม่มีเงินไปทำงานต้องยื่นใบลาป่วยเป็นเท็จ (โทษภาคทัณฑ์)
9.4 ได้เสนอเอกสารประกาศ และสอบคัดเลือกอันเป็นเท็จต่อผู้บังคับบัญชา โดยแสดงว่า
ตนเป็นผู้ผ่านการสอบคัดเลือก เพื่อประกอบการประเมินให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น(โทษตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา2 เดือน)
9.5 รับอยู่เวรรักษาการแทนผู้อื่นได้ลงชื่อรับเวรเวลา16.30 น. ครั้นเวลา 17.00 น .
ได้หายไปโดยไม่กลับมาปฏิบัติหน้าที่แล้วรายงานผู้บังคับบัญชาว่าท้องเดินแต่วันรุ่งขึ้นบันทึกชี้แจงหัวหน้าเวร
ว่าไม่มีเงินรับประทานอาหารตั้งแต่กลางวันตอนเย็นจึงกลับบ้าน (โทษภาคทัณฑ์)
9.6 เจ้าหน้าที่สองคนได้รับอนุมัติให้เดินทางไปราชการ เพื่อรับรถยนต์และขนครุภัณฑ์
หลายรายการบุคคลทั้งสองไม่ได้เดินทางไปและกลับด้วยกันแต่ได้ทำเรื่องขอเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
และกลับพร้อมกัน เป็นเหตุให้การจัดทำเอกสารการเดินทางครั้งนี้ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง (โทษตัดเงินเดือน
10% เป็นเวลา 3 เดือน)
9.7 รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา โดยปลอมแปลงใบรับรองแพทย์จากสมควรได้รับการ
พักผ่อน 2 วัน แต่เป็น 12 วัน (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
๗
9.8 แก้ไขใบรับรองแพทย์ จากเดิมเห็นควรอยู่รักษาเป็นเวลา 1 วันแต่เป็น 4 วัน
โดยเจตนาที่จะได้มีวันลามากขึ้น (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
9.9 มีหน้าที่เข้าตรวจการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เวรรักษาการณ์กลางคืนได้บันทึก
รายงานว่าเหตุการณ์ทั่วไปปกติ ทั้งที่ทราบว่าเจ้าหน้าที่เวรถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในข้อหาลักลอบเล่นการพนัน
ต่อมามีบัตรสนเท่ห์เรื่องดังกล่าว ก็รายงานข้อกล่าวหาตามบัตรสนเท่ห์ไม่มีมูลความจริง อันเป็นการปกปิดความผิด
ของผู้ใต้บังคับบัญชาและรายงานเท็จ (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
9.10 รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาว่าส่งหมายเรียกแล้วต่อมาได้บรรเทาผลร้าย
ให้ผู้ถูกหมายเรียกและเรียกมาพบภายในกำหนดเวลา (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น )
9.11 สมมุติข้อเท็จจริง และพยานบุคคล โดยไม่ได้ออกไปสืบเสาะหรือสอบปากคำแต่อย่างใด
แต่ข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นรายงานเท็จนั้น ไม่ใช่สาระสำคัญ (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
10. ฐานความผิด“ไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการ”เช่น
10.1 ไม่ส่งมอบบ้านพักตามระเบียบ (โทษภาคทัณฑ์)
10.2 ไม่เดินทางไปรายงานตัวช่วยราชการภายในกำ หนดเวลา และไม่รายงาน
ผู้บังคับบัญชาทราบถึงสาเหตุที่ไม่สามารถเดินทางได้ภายในกำหนดเวลา (โทษภาคทัณฑ์)
10.3 ไม่ส่งใบลาตามระเบียบว่าด้วยการลาแต่จัดส่งใบลาในวันที่ผู้บังคับบัญชาเรียกมา
สอบถาม และผู้บังคับบัญชามิได้อนุญาตการลา (โทษภาคทัณฑ์)
10.4 ไม่ลงชื่อและเวลามาปฏิบัติราชการรวม 5 วัน และไม่ลงเวลากลับรวม 13 วัน
(โทษภาคทัณฑ์)
10.5 ขาดราชการโดยอ้างว่าป่วย โดยไม่มีใบรับรองแพทย์ประกอบการลาตามระเบียบ
(โทษภาคทัณฑ์)
10.6 ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีล้มละลายและถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว แต่ไม่รายงาน
การถูกฟ้องคดีให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นทราบ (โทษภาคทัณฑ์)
10.7 หลักจากลาสิกขาบท แล้วไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ถึงเหตุที่ไม่อาจ
กลับมาปฏิบัติราชการได้ในเวลาอันสมควร (โทษภาคทัณฑ์)
10.8 ใช้สิทธิ์เบิกค่าเช่าบ้านแต่เข้าพักอาศัยเพียง 6 เดือน หลังจากนั้นได้ย้ายออกไป
เช่าบ้านใหม่ แต่ยังใช้หลักฐานการเช่าบ้านเดิม และไม่แจ้งต้นสังกัดทราบ (โทษภาคทัณฑ์)
10.9 ถ่ายรูประดับเหรียญติดลงใน ก.พ.7 โดยยังไม่ได้รับพระราชทานเหรียญ
(โทษภาคทัณฑ์)
10.10 ไม่ยื่นใบลาป่วยในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการ (โทษภาคทัณฑ์)
10.11 ไม่รายงานการถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหาลักลอบเล่นการพนันให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
(โทษภาคทัณฑ์)
10.12 ลงชื่อในสมุดลงเวลาปฏิบัติราชการแทนเพื่อนซึ่งไม่ได้มาปฏิบัติราชการ
(โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
๘
10.13 เข้าศึกษาภาคสมทบโดยไม่ได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชา ตามระเบียบและใช้เวลา
ราชการไปศึกษาบางครั้งกับลาป่วย 1 วัน โดยไม่ยื่นใบลาป่วยตามระเบียบว่าด้วยการลา (โทษตัดเงินเดือน 10%
เป็นเวลา 1 เดือน)
10.14 ไม่ยื่นใบลาในทันทีแต่จัดส่งใบลาพร้อมใบรับรองแพทย์ เมื่อผู้บังคับบัญชาทวงถาม
(โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 1 เดือน)
10.15 ให้เพื่อนปลอมลายมือชื่อของตนในสมุดลงเวลา เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาเข้าใจว่ามา
ทำงาน (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 1 เดือน)
10.16 ไม่ยื่นใบลาป่วยในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการ และผู้บังคับบัญชาไม่อนุญาตการลา
เพราะเห็นว่าเป็นการลาเท็จ (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
10.17 ไม่ขออนุญาตผู้บังคับบัญชา เมื่อออกนอกเขตจังหวัด และหยุดราชการ เมื่อลาป่วย
แต่ไม่ส่งใบลาทั้งที่สามารถกระทำได้ (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
10.18 มาปฏิบัติหน้าที่ราชการแต่ไม่ได้ลงชื่อ และเวลามาปฏิบัติราชการ ด้วยตนเองกลับใช้
ให้ผู้อื่นลงชื่อ และเวลาปฏิบัติราชการแทน (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
10.19 ลงลายมือชื่อโดยไม่มีอำนาจ และเป็นผู้กำหนด และลงเลขออกหนังสือวันเดือนปี
ออกหนังสือเอง โดยไม่ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
10.20 ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านพัก โดยไม่ได้พักอาศัยอยู่บ้านเช่าหลังดังกล่าว เป็นเวลา
5 เดือน หลังจากทักท้วง จึงได้คืนเงินค่าเช่าบ้านให้แก่ทางราชการ (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
10.21 ยื่นใบลาแต่ไม่ได้แนบใบรับรองแพทย์มายืนยันการลาป่วยผู้บังคับบัญชา
จึงไม่อนุญาตการลา (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
10.22 เบิกเงินค่าช่วยเหลือบุตร และค่ารักษาพยาบาลบุตร จำนวน 2 คน หลังจากยกบุตร
ให้เป็นบุตรบุญธรรมของผู้อื่น เนื่องจากไม่ทราบหลักเกณฑ์ต่อมาได้นำเงินที่เบิกไปทั้งหมดส่งคืนกองคลัง
(โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 3 เดือน)
10.23 ไม่มาปฏิบัติงานแต่ขอให้บุคคลอื่นลงชื่อแทน รวม 5 ครั้ง (โทษตัดเงินเดือน 10%
เป็นเวลา 3 เดือน)
10.24 มาปฏิบัติราชการแต่ไม่ลงชื่อในสมุดลงเวลา รวม 6 วัน ละทิ้งหน้าที่ราชการ 4 วัน
โดยไม่ยื่นใบลากลั่นแกล้งให้ครอบครัวผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
10.25 ขาดราชการโดยไม่ได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบถึงสาเหตุจำเป็นที่มาปฏิบัติราชการ
ไม่ได้ (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
10.26 ใช้โทรศัพท์ทางไกลโดยไม่ได้รับอนุญาตรวม 29 ครั้ง (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
11. ฐานความผิด“ละทิ้งหน้าที่ราชการ”เช่น
11.1 ละทิ้งเวรรักษาการณ์ออกไปรับประทานอาหาร โดยไม่ได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชา
กลับมานั่งคุยกับเพื่อนจนกระทั่งเลิกงาน (โทษภาคทัณฑ์)
11.2 ละทิ้งหน้าที่ราชการไป 5 วัน เพื่อออกติดตามลูกหนี้ที่ตนค้ำประกัน (โทษภาคทัณฑ์)
๙
11.3 นำสุรามาดื่มบนที่ทำงาน ขาดราชการ มีอาการเมาสุรา ตลอดทั้งวัน บางครั้งก็นอน
หลับบนโต๊ะทำงาน (โทษตัดเงินเดือน10%เป็นเวลา2เดือน)
11.4 ลงชื่อปฏิบัติราชการ และละทิ้งหน้าที่ราชการ ออกไปทำธุระโดยไม่ได้ขออนุญาต
ผู้บังคับบัญชา (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
11.5 ใช้เวลาในการเดินทางไปรายงานตัวนานเกินสมควร (โทษตัดเงินเดือน 10%
เป็นเวลา 2 เดือน)
11.6 มาปฏิบัติหน้าที่ราชการไม่สม่ำเสมอ ละทิ้งหน้าที่ราชการไปข้างนอกนานๆ
เป็นประจำผู้บังคับบัญชาตักเตือนแล้ว ก็ไม่ดีขึ้นเข้าไปในสถานที่อันไม่สมควร และคบชายไม่เลือกหน้า
(โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
11.7เ ข้าปฏิบัติหน้าที่อยู่เวรล่าช้า ในสภาพมึนเมาสุรา และลงเวลาเข้าปฏิบัติหน้าที่ไม่ตรง
กับความจริง (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
11.8 เบียดบังเวลาราชการไปทำธุระส่วนตัว และไม่ดำเนินการกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา
ซึ่งกระทำผิด (โทษตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 2 เดือน)
11.9 ไม่รีบกลับมารายงานตัวปฏิบัติหน้าที่ราชการ เมื่อครบกำหนดการลาศึกษาต่อ
(โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
11.10 ไม่จัดส่งใบลาและไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา กลับเพิกเฉยไม่ยอมชี้แจง
ข้อเท็จจริงให้ผู้บังคับบัญชาทราบ (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
11.11 มาทำงานสายและกลับก่อนเวลา ละทิ้งหน้าที่ราชการ รวม 7 วัน ไม่ได้ยื่นใบลาป่วย
ในวันแรกที่มาปฏิบัติหน้าที่ราชการ กับลงชื่อในสมุดมาปฏิบัติราชการย้อนหลัง ในวันที่ขาดราชการ
(โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
11.12 หน้าที่เข้าเวรแต่ออกไปทำธุระส่วนตัว โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา
เมื่อเกิดเพลิงไหม้ทำให้ทรัพย์สินของทางราชการเสียหายเล็กน้อย (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
11.13 ละทิ้งหน้าที่ราชการขับรถยนต์ส่วนกลาง ออกไปบ้านพักโดยไม่ขออนุญาตผู้มีอำนาจ
และได้ขับรถยนต์ชนเสาไฟฟ้าต่อมาได้ใช้ค่าเสียหายแก่ทางราชการ (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น )
11.14 ลาศึกษาต่อแต่ถูกจำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนนักศึกษา และไม่มารายงานตัว
เข้าปฏิบัติราชการในวันที่รู้ว่าหมดหน้าที่จะเป็นนักศึกษา (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
12. ฐานความผิด“ไม่สุภาพเรียบร้อย”เช่น
12.1 พูดจาท้าทายและด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย และเดินด่าทั้งภายในและภายนอก
สำนักงาน (โทษภาคทัณฑ์)
12.2 กล่าวหาและตำหนิผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ (โทษภาคทัณฑ์)
12.3 ทำร้ายเพื่อนข้าราชการได้รับบาดเจ็บ (โทษภาคทัณฑ์)
12.4 เกิดโทสะท้าทายลูกจ้างประจำ ออกไปชกต่อยข้างนอกสำนักงาน (โทษภาคทัณฑ์)
12.5 ชกต่อยเจ้าหน้าที่พิมพ์ดีดได้รับบาดเจ็บ (โทษภาคทัณฑ์)
๑๐
12.6 พูดจาดุด่าเจ้าหน้าที่ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้วยถ้อยคำหยาบคายเข้าไปทำร้ายและผลักอก
(โทษภาคทัณฑ์)
12.7 กล่าววาจา“ทำ ไมต้องมาแสลนเรื่องของกูคนอย่างมึงอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่”
(โทษภาคทัณฑ์)
12.8 ตบหัวหน้าฝ่ายซึ่งทำ หนังสือว่ากล่าวตักเตือนเรื่องการทำ งานไม่เรียบร้อย
(โทษภาคทัณฑ์)
12.9 ใช้วาจาไม่สุภาพเรียบร้อย และแสดงกิริยาก้าวร้าวต่อผู้บังคับบัญชา
(โทษตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 2 เดือน)
12.10 ดุด่าข้าราชการอื่น ด้วยถ้อยคำอันหยาบคายเป็นประจำ แสดงกิริยามารยาท
ไม่เรียบร้อย ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานบ่อยครั้ง ถึงขั้นจะทำร้ายร่างกายข้าราชการที่เป็นสตรี (โทษตัดเงินเดือน 5%
เป็นเวลา 2 เดือน)
12.11 ชกต่อยหัวหน้าฝ่ายบริหาร เนื่องจากไม่พอใจที่เรียกให้ยื่นเอกสารเพิ่มเติมประกอบ
เรื่องยืมเงินทดรอง (โทษตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 2 เดือน)
12.12 ไม่แสดงความเคารพยำเกรง และให้เกียรติผู้บังคับบัญชา ขณะเดินตรวจดูความ
เรียบร้อยในการปฏิบัติงาน และพูดจากระทบกระเทียบ (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
12.13 เคาะประตูห้องผู้บังคับบัญชาจนโชคอัพประตูหลุดและเข้าไปในห้องประชุมเล็กใช้มือ
สองข้างจับไหล่ข้าราชการหญิงเขย่าอย่างแรงพร้อมกับพูดว่า“กูจะเอามึงทำเมีย” (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา
2 เดือน )
12.14 เสพสุรามึนเมาพูดจาดูหมิ่นท้าทายผู้บังคับบัญชาต่อหน้าราชการ และประชาชน
(โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
12.15 แสดงอารมณ์โกรธขู่อาฆาตผู้บังคับบัญชาและเหวี่ยงใบลาออกลงบนโต๊ะ
ผู้บังคับบัญชาพร้อมพูดคำว่า“ผมขอลาออกขอให้เซ็นให้ผมเดี๋ยวนี้”ต่อหน้าข้าราชการหลายคน (โทษตัดเงินเดือน
10% เป็นเวลา 2 เดือน)
12.16 ชี้หน้าด่าเพื่อนข้าราชการด้วยความเข้าใจผิดว่าถูกกลั่นแกล้ง (โทษตัดเงินเดือน
10%เป็นเวลา 2 เดือน)
12.17 โต้เถียงกับเพื่อนข้าราชการชักอาวุธปืนออกมาทำท่าจะยิง และใช้อาวุธปืนตีไป
ที่ศีรษะ จนเพื่อนข้าราชการได้รับบาดเจ็บ (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
12.18 เสพสุราจนมีอาการมึนเมา ใช้มือจับก้นลูกจ้างชั่วคราว ซึ่งเป็นสตรีกล่าววาจา
ไม่สุภาพก้าวร้าว ชวนวิวาทกับเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
12.19 เสพสุราจนมีอาการมึนเมา แสดงกิริยาไม่สุภาพเรียบร้อยต่อหน้าเพื่อนข้าราชการ
และราษฎรกล่าววาจาหยาบคายผ่านเครื่องขยายเสียง นอกจากนี้ได้กล่าวถ้อยคำลวนลามข้าราชการสตรี
(โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
12.20 ใช้มีดปอกผลไม้ทำร้ายร่างกายข้าราชการอื่น ต่อมาสำนึกผิดจึงได้ขอโทษและคู่กรณี
ไม่ติดใจเอาความแต่อย่างใด (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
๑๑
13. ความผิด“ไม่รักษาความสามัคคี”เช่น
13.1 ขว้างที่ทับกระดาษเข้าไปในห้องข้าราชการอื่น และห้องตัวเองเป็นเหตุให้กระจก
ประตูแตก (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 3 เดือน)
13.2 ใช้กำลังทำร้ายเพื่อนข้าราชการบริเวณแขนซ้ายเป็นรอยฟกซ้ำผู้ถูกทำร้ายไม่ได้แสดง
อาการตอบโต้แต่อย่างใด (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
14. ฐานความผิด“ไม่ช่วยเหลือกันในการปฏิบัติหน้าที่”เช่น
14.1 บาดหมางโกรธเคืองกับเพื่อนข้าราชการ เป็นเหตุให้เกิดผลกระทบถึงการปฏิบัติงาน
ในหน้าที่ และมีส่วนร่วมรู้เห็นในการประชุมวางแผนกับกลุ่มเดินขบวน เพื่อมิให้ตนเองต้องย้ายไปรับตำแหน่งใหม่
(โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
14.2 ถูกทักท้วงจากเพื่อนข้าราชการที่ปฏิบัติงานร่วมกัน จึงเกิดความไม่พอใจจนทำให้การ
ประสานงานระหว่างบุคคลทั้งสองมีปัญหา เนื่องจากไม่พูดจากัน (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 3 เดือน)
15. ฐานความผิด“ไม่ต้อนรับให้ความสะดวกไม่ให้ความเป็นธรรมไม่ให้การสงเคราะห์ ดูหมิ่น
เหยียดยามกดขี่หรือข่มเหงประชาชนผู้ติดต่อราชการ” เช่น
15.1 ไม่ดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐานให้แก่ประชาชนที่มาติดต่อ โดยละเอียดและ
ไม่ให้คำแนะนำที่ชัดเจน เพียงพอ เป็นเหตุให้ผู้มาติดต่อราชการจำต้องติดต่อหลายครั้ง (โทษภาคทัณฑ์)
15.2 บ่นกับตัวเองด้วยเสียงอันดังขณะปฏิบัติหน้าที่และต่อหน้าประชาชนผู้มาติดต่อ
ราชการ ซึ่งเป็นชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามว่า“ทำงานเหมือนหมูเหมือนหมาแล้วยังไม่ได้ดีอีก”(โทษภาคทัณฑ์)
15.3 เรียงลำดับผู้มาติดต่อราชการผิดพลาดผู้มาติดต่อราชการทักท้วงก็ไม่แก้ไขกลับพูดจา
ท้าทาย (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
16. ฐานความผิด“กระทำหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการหาผลประโยชน์อันอาจทำให้เสียความ
เที่ยงธรรมหรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตน” เช่น
16.1 ร่วมกับบุคคลภายนอกอีก 2 คน ออกเงินกู้โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10
ต่อเดือน ได้รับผลประโยชน์แล้วนำมาแบ่งกัน (โทษภาคทัณฑ์)
16.2 ได้รับเงินค่าตอบแทนครั้งละไม่เกิน 500 บาท ในการช่วยเหลือและอำนวยความ
สะดวกแก่ผู้มาติดต่อทั้งๆ ที่ตนไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
17. ฐานความผิด“ประพฤติชั่วไม่ร้ายแรงประพฤติตนไม่สำรวม”เช่น
17.1 ให้ถ้อยคำเป็นพยานรับรองทั้งๆ ที่ไม่รู้เหตุการณ์ (โทษภาคทัณฑ์)
17.2 ไม่ชำระค่าเลี้ยงดูบุตร ตามคำสั่งศาลทั้งที่มีทรัพย์สินเพียงพอทำให้ภรรยาเดิม
และบุตรได้รับความเดือนร้อน (โทษภาคทัณฑ์)
17.3 ถูกแจ้งความดำเนินคดีเกี่ยวกับเช็คแต่ภายหลังประนีประนอมยอมความกันได้
(โทษภาคทัณฑ์)
๑๒
17.4 ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายลงโทษจำคุก2ปีรอการลงโทษ
ไว้มีกำหนด1ปี(โทษตัดเงินเดือน10%เป็นเวลา2เดือน)
17.5 ดื่มสุราจนมึนเมาพูดจาดูหมิ่นเจ้าหน้าที่อื่นจึงถูกจับกุมคดีอาญาศาลลงโทษจำคุก1ปี
แต่รอการลงอาญาการถูกดำเนินคดีไม่รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ(โทษตัดเงินเดือน10%เป็นเวลา3เดือน)
17.6 ไม่อยู่ในความช่วยเหลือหรือแสดงความรับผิดชอบ กรณีสุนัขซึ่งเลี้ยงไว้ในบ้านพัก
เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ และเดินทางไปต่างจังหวัด โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา
(โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 3 เดือน)
17.7 ไม่นำผ้าป่าไปถวายตามกำหนดนัดหมายชาวบ้าน และวัดต้องเสียค่าใช้จ่ายในการ
เตรียมการต่อมาได้นำเงินไปถวายวัด และชดใช้ค่าอาหารแล้ว (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 3 เดือน)
17.8 ใส่ความเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งไม่เป็นความจริง (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา
4 เดือน )
17.9 แย่งปืนโดยกอดปล้ำกันบนรถโดยสาร เป็นเหตุให้อาวุธปืนลั่นถูกผู้โดยสาร3 คน
ได้รับบาดเจ็บพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง (โทษลดขั้นเงินเดือน 2 ขั้น)
17.10 เก็บของตกได้นำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โดยมิได้มีการสืบหาตัวผู้เป็นเจ้าของ
(โทษลดขั้นเงินเดือน 2 ขั้น)
17.11 ดื่มสุราจนมีอาการมึนเมา ส่งเสียงดังรบกวนผู้เข้าอบรมคนอื่น ผู้บังคับบัญชาเคยว่า
กล่าวตักเตือนอยู่เสมอ แต่ไม่ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น (โทษภาคทัณฑ์)
17.12 มึนเมาสุรามาปฏิบัติราชการเดือนละ 1 – 2 ครั้ง ก่อความรำคาญแก่เพื่อนร่วมงาน
ผู้บังคับบัญชาเคยว่ากล่าวตักเตือนก็ไม่เชื่อฟัง (โทษภาคทัณฑ์)
17.13 ระหว่างอบรมได้หยิบสุราออกมาดื่มในห้องอบรม ส่งเสียงรบกวนผู้อื่น
(โทษภาคทัณฑ์)
17.14 มาปฏิบัติราชการในลักษณะเมาสุราครองสติไม่อยู่ส่งเสียงดังแสดงวาจาก้าวร้าว
หยาบคายต่อเพื่อนร่วมงานจนเป็นที่รำคาญ (โทษตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 1 เดือน)
17.15 ติดพันหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยาโดยไม่กลับไปเยี่ยมภรรยามีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกับ
ภรรยาเป็นประจำ (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 1 เดือน)
17.16 ดื่มสุราก่อนเข้ารายงานตัวมีอาการมึนเมา ยืนโงนเงน ทรงตัวไม่ค่อยอยู่ และกล่าวว่า
เมาอย่างนี้ทุกวันแต่งานไม่เสีย (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
17.17 ดื่มสุรามาปฏิบัติราชการเป็นประจำ และทอดทิ้งงานไปดื่มสุราบ่อยครั้ง
(โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
17.18 ดื่มสุราและพูดสนับสนุนให้พนักงานขับรถยนต์ขับรถเร็วขึ้น ร่วมกับพนักงานขับ
รถยนต์ของสำนักงบฯ ออกไปทำธุระส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา (โทษลดขั้นเงินเดือน 1 เดือน)
17.19 ดื่มสุราจนมึนเมารูดซิบกางเกงก่อนถึงห้องน้ำทำให้ข้าราชการหญิงเห็นอวัยวะเพศ
(โทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น)
17.20 ไม่ชำระหนี้กู้ยืมให้บุคคลภายนอก ตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่งต่อมาพี่สาวได้ชำระหนี้
แทน (โทษภาคทัณฑ์)
๑๓
17.21 ไม่ชำระหนี้กู้ยืมตามคำสั่งศาลถูกร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาจึงยินยอมชำระหนี้
(โทษภาคทัณฑ์)
17.22 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ (โทษตัดเงินเดือน
10% เป็นเวลา 2 เดือน)
17.23 มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวจนถูกภรรยาร้องเรียน ต่อมาได้หย่าขาดกับภรรยาแล้ว
(โทษภาคทัณฑ์)
17.24 มีความสัมพันธ์สนิทสนมใกล้ชิดกับข้าราชการ ซึ่งมีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ผู้บังคับบัญชาว่ากล่าวตักเตือนหลายครั้งก็ไม่เชื่อฟัง (โทษภาคทัณฑ์)
17.25 ไปมาหาสู่เพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นหญิงทั้งเวลากลางวันและกลางคืนในลักษณะสองต่อสอง
จนกระทั่งภรรยาเกิดความหึงหวง และทะเลาะวิวาทกัน (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 1 เดือน)
17.26 ทิ้งภรรยาไปอยู่กินกับหญิงอื่นจนมีบุตร (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
17.27 จดทะเบียนสมรสซ้อน (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
17.28 อยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยากับชายอื่นซึ่งมีภรรยาแล้ว (โทษตัดเงินเดือน 10%
เป็นเวลา 2 เดือน)
17.29 เมื่อมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่น 2 คน กลับไม่ดูแลเอาใจใส่และทำร้าย
ร่างกายภรรยาตนเองจนถูกดำเนินคดี (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
17.30 ทะเลาะวิวาท ตบตีกับภรรยาชายที่ตนชอบ (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา
1เดือน)
17.31 อยู่กินกันฉันสามีภรรยากับหญิงอื่นโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสเมื่อหญิงตั้งครรภ์กลับ
ทอดทิ้งและให้ไปทำแท้ง(โทษตัดเงินเดือน10%เป็นเวลา3เดือน)
17.32 มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่นโดยแต่งงานและอยู่ร่วมกัน3–4เดือน(โทษตัด
เงินเดือน3เดือน)
17.33 มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่นจนกระทั่งมีบุตรด้วยกันเป็นเหตุให้ภรรยา
ร้องเรียนเนื่องจากไม่อุปการะเลี้ยงดูบุตรและภรรยา (โทษตัดเงินเดือน10% เป็นเวลา 4 เดือน)
17.34 จดทะเบียนสมรสซ้อนศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกแต่รอลงอาญา (โทษลดขั้น
เงินเดือน 1 ขั้น)
17.35 มีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายและบุตรแล้ว แต่มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับ
ข้าราชการหญิงเกินปกติ และปฏิบัติต่อตนเสมอเป็นสามีภรรยาเห็นเหตุให้บุคคลอื่นเข้าใจผิด (โทษลดขั้นเงินเดือน
1 ขั้น)
17.36 จับมือถือแขนหญิงสาวขณะนั่งคุยกันสองต่อสองที่ระเบียงบ้านของหญิงผู้นั้นผิดต่อ
ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นนั้น (โทษภาคทัณฑ์)
17.37 เสพสุราจนมึนเมากระทำลวนลามน้องสาวของเพื่อน โดยการจับมือโอบกอด
ภายหลังยอมชดใช้ค่าเสียหาย (โทษตัดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 2 เดือน)
17.38 เมาสุราจนครองสติไม่ได้โอบกอดภรรยาผู้อื่นจนถูกขับไล่ออกจากบ้าน (โทษตัด
เงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
๑๔
17.39 ปลอมลายมือชื่อผู้บังคับบัญชารับรองการกู้เงินฉุกเฉินของตนจากสหกรณ์ (โทษตัด
เงินเดือน 10% เป็นเวลา 4 เดือน)
ลักษณะแห่งความผิดวินัยร้ายแรง ได้แก่ ฐานความผิดดังต่อไปนี้
1. ฐานความผิด“ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ”
1.1 มีหน้าที่ทำบัญชี และรายงานต่างๆ พร้อมทำหน้าที่นำเงินรายได้แผ่นดินส่งคลังด้วย
แล้วทำการยักยอกเงินรายได้แผ่นดินเป็นประโยชน์ส่วนตน (โทษไล่ออก)
1.2 ทำการยักยอกเงินค่าสาธารณูปโภคและค่าใช้สอยเป็นประโยชน์ส่วนตน (โทษไล่ออก)
1.3 จ่ายเงินคืนภาษีอากรทั้งๆ ที่มีหนี้ภาษีอากรค้าง (โทษปลดออก)
1.4 ร่วมมือกับบุคคลภายนอกปลอมใบกำกับภาษี (โทษไล่ออก)
1.5 มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอก ซึ่งปลอมใบกำกับภาษีด้วยการรับรองผลการตรวจ
ปฏิบัติการสอบยันหรือตรวนคืนว่าถูกต้องทั้งๆ ที่มิได้มีการประกอบกิจการจริง (โทษไล่ออก)
1.6 มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอก ซึ่งปลอมใบกำกับภาษีด้วยการเป็นผู้แทนหรือพาไป
พบเจ้าพนักงานประเมิน (โทษไล่ออก)
1.7 ออกใบเสร็จรับเงินให้ผู้เสียภาษีแล้ว ต่อมาทำใบเสร็จรับเงินเสียโดยไม่มีการออก
ใบเสร็จรับเงินฉบับใหม่แทนส่วนแบบแสดงรายการได้ส่งหน่วยเหนือบันทึกข้อมูลตามปกติ (โทษไล่ออก)
1.8 นำเงินส่งคลังเกินกำหนด 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งไม่ได้มอบเงินให้กรรมการเก็บรักษาเงิน
นำไปเก็บในตู้นิรภัยของอำเภอ (โทษปลดออก)
1.9 นำเงินรายได้แผ่นดินไปหมุนใช้ (โทษไล่ออก)
1.10 รับเงินจากที่ดินอำเภอแต่ไม่ออกใบเสร็จรับเงิน (โทษปลดออก)
1.11 ไม่นำเงินส่งคลังจังหวัดในวันที่ลงรายการ เนื่องจากนำไปใช้ส่วนตัวก่อนภายหลังจึงได้
นำส่งโดยแก้วันที่ในใบนำส่ง (โทษปลดออก)
1.12 เบียดบังเงินหมวดค่าใช้สอยเอาไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวแล้วปลอมแปลงแก้ไข
เอกสารการเงินของทางราชการนอกจากนี้ได้ยักยอกเงินเดือน และค่าเช่าบ้านของราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว
(โทษไล่ออก)
1.13 ไม่นำเงินฝากคลังตามระเบียบภายหลังเป็นเวลาหลายเดือนสตง.ตรวจพบจึงได้นำเงิน
ฝากคลังจังหวัด (โทษปลดออก)
1.14 หักเงินค่าจ้างซึ่งจะต้องจ่ายให้แก่ผู้รับจ้างแล้วนำ ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว
(โทษปลดออก)
1.15 นำเอกสารซึ่งเป็นคำตอบข้อสอบคัดเลือกเพื่อเลื่อน และแต่งตั้งข้าราชการไปแจกจ่าย
ให้ผู้เข้าสอบบางคนเพื่อช่วยเหลือให้สอบได้ (โทษปลดออก)
1.16 เรียกและรับเงินค่าธรรมเนียมแล้วนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว (โทษปลดออก)
1.17 เก็บเงินค่าผ่อนชำระตามโครงการเพื่อสวัสดิการแล้วนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว
(โทษปลดออก)
๑๕
1.18 นำเงินฌาปนกิจสงเคราะห์และเงินเดือนเจ้าหน้าที่ไปชำระหนี้ส่วนตัวก่อนภายหลังได้
นำเงินทั้งหมดมาคืนแก่ทางราชการแล้ว (โทษไล่ออก)
1.19 วางฎีกาเบิกจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างของข้าราชการ และลูกจ้างซ้ำซ้อนเบิกเงินเพิ่มค่า
ครองชีพและเงินช่วยเหลือบุตรสูงกว่าหลักฐานแก้ไขยอดเงินและสำเนาใบเสร็จรับเงินและนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว
ต่อมาได้นำเงินมาส่งใช้คืน (โทษไล่ออก)
1.20 ออกใบเสร็จรับเงินโดยต้นฉบับและสำเนาใบเสร็จรับเงินมีรายการและจำนวนเงิน
ไม่ตรงกันต่อมาได้ชดใช้คืนให้แก่ทางราชการ (โทษไล่ออก)
1.21 รับเงินค่าธรรมเนียมไว้แล้วไม่ยอมออกใบเสร็จรับเงินและไม่นำไปชำระให้เงิน
ค่าธรรมเนียมก็ไม่คืนให้ (โทษไล่ออก)
1.22 จัดทำใบตรวจรับพัสดุแล้วนำเงินจ่ายค่าพัสดุไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว (โทษไล่ออก)
1.23 ลักตั๋วแลกเงินซึ่งชำ ระแก่ทางราชการแล้วนำ ไปรับเงินเป็นประโยชน์ส่วนตัว
(โทษไล่ออก)
1.24 เรียกร้องเงินโดยอ้างว่าเป็นค่าดำ เนินการจนกระทั่งมีการร้องเรียนจึงคืนให้
(โทษไล่ออก)
1.25 ได้รับเงินรายได้แผ่นดินแล้วนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี
6 เดือน (โทษไล่ออก)
1.26 เบิกเงินค่าธรรมเนียมแล้วนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว (โทษไล่ออก)
1.27 เบิกจ่ายเงินทั้งที่ลูกจ้างมาทำงานไม่ครบตามจำนวนวันที่เบิกแล้วนำเงินส่วนเกินไปเป็น
ประโยชน์ส่วนตัว (โทษไล่ออก)
1.28 เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเช็คให้ตนเป็นผู้รับเงิน (โทษไล่ออก)
1.29 แก้ไขและปลอมแปลงเช็คให้ตนเป็นผู้รับเงินแล้วโอนเข้าบัญชีเงินฝากของตน
(โทษไล่ออก)
2. ฐานความผิด“ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง”เช่น
2.1 ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่สั่งให้ย้ายไปดำรงตำแหน่ง ณ ที่แห่งอื่นทำให้
ขาดเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ เสียระบบการปกครองบังคับบัญชา และก่อให้เกิดความเสียหายในการบริหารราชการ
อย่างร้ายแรง (โทษไล่ออก)
3. ฐานความผิด“รายงานเท็จเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง”เช่น
3.1 ไม่ส่งหมายเรียกแล้วรายงานว่านำไปส่งแล้วเห็นเหตุให้เสียหายแก่การดำเนินกระบวน
พิจารณาคดีถือว่าเป็นความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง (โทษให้ออก)
3.2 จัดทำคำขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านและใบเบิกเงินค่าเช่าบ้าน โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
และใช้เอกสารที่จัดทำขึ้นเองเพื่อความสะดวกในการเบิกค่าเช่าบ้านจากทางราชการ (โทษไล่ออก)
๑๖
4. ฐานความผิด“ละทิ้งหน้าที่ราชการเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง”เช่น
4.1 ไม่ได้ยื่นใบลาออกตามระเบียบทางราชการ จึงไม่พิจารณาการลาออกเมื่อปรากฏว่า
ไม่มาปฏิบัติราชการอีกเลยจึงเป็นละทิ้งหน้าที่ราชการเกินกว่า 15 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรและจงใจไม่ปฏิบัติ
ตามระเบียบของทางราชการ (โทษปลดออก)
4.2 ขาดราชการแล้วไม่กลับมาปฏิบัติราชการอีกเลย โดยไม่ได้ส่งใบลาหรือแจ้งเหตุผลให้
ผู้บังคับบัญชาทราบแต่อย่างใด (โทษไล่ออก)
4.3 ลาศึกษาต่อเมื่อพ้นสภาพนักศึกษาแล้ว ไม่รีบกลับมารายงานตัวเพื่อเข้าปฏิบัติหน้าที่
ราชการ (โทษไล่ออก)
4.4 ลาพักผ่อนแล้วไม่กลับมาปฏิบัติราชการอีกเลย ต่อมาได้โทรเลขแจ้งขอลาออกจาก
ราชการ (โทษไล่ออก)
4.5 ส่งจดหมายขอลาออกจากราชการ โดยไม่จัดทำใบลาตามที่ทางราชการกำหนด
ผู้บังคับบัญชาจึงไม่พิจารณาอนุญาต (โทษไล่ออก)
4.6 ไม่ปฏิบัติงานตามคำ สั่งผู้บังคับบัญชา และไม่กลับมารายงานตัวแต่อย่างใด
(โทษไล่ออก)
4.7 ขออนุญาตออกไปค้างคืนนอกสถานฝึกอบรมแล้วไม่กลับเข้ารับการอบรมอีกครบ
กำหนดการฝึกอบรมแล้ว ก็ยังไม่กลับไปรายงานตัวเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการอีก (โทษไล่ออก)
4.8 ใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่อื่นได้รับบาดเจ็บ และหลบหนี้ไปไม่กลับมาปฏิบัติหน้าที่
ราชการอีกเลย (โทษไล่ออก)
5. ฐานความผิด“ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง”เช่น
5.1 ทุจริตในการสอบคัดเลือกเพื่อเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น (โทษให้ออก)
5.2 กระทำผิดฐานยักยอกทรัพย์ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน
(โทษไล่ออก)
5.3 ถูกจับกุมพร้อมของกลางธนบัตรดอลลาร์ปลอม (โทษไล่ออก)
5.4 ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกในฐานกรรโชกทรัพย์ (โทษไล่ออก)
5.5 เสพสุราในเวลาปฏิบัติราชการ เป็นเหตุให้มีอาการมึนเมาจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่
ราชการได้ (โทษให้ออก)
5.6 เบิกค่ารถยนต์บรรทุกสัมภาระ และสิ่งของใบการเดินทางไปรับตำแหน่งใหม่ทั้งที่
ข้อเท็จจริงมิได้มีการจ้างรถยนต์บรรทุกอย่างใดแต่ได้ขอใบเสร็จรับเงินจากเอกสารมาประกอบการเบิกเงิน
(โทษไล่ออก)
5.7 เบิกค่าเช่าบ้านทั้งที่ไม่ได้พักอาศัยและชำระค่าเช่าจริง นอกจากนี้ได้เขียนรายงาน
การเดินทางไปประชุมอันเป็นเท็จเพื่อขอเบิกเงินค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าพาหนะในการเดินทาง (โทษให้ออก)
๑๗
5.8 หลอกลวงราษฎรว่าสามารถฝากบุตรหลานเข้าทำงานได้ แล้วเรียกเงินค่าฝากเข้า
ทำงาน (โทษไล่ออก)
5.9 อ้างว่าจะช่วยเหลือให้สอบบรรจุเป็นลูกจ้างประจำ เพื่อหลอกลวงเอาเงินจากผู้เข้าสอบ
หากไม่สามารถช่วยเหลือได้จะคืนเงินให้ ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดสอบได้จึงคืนเงินให้ (โทษปลดออก)
5.10 เรียกร้องโดยหลอกลวงว่าจะช่วยให้เข้าทำงาน (โทษปลดออก)
5.11 แอบอ้างและจัดทำเอกสารหนังสือประกาศรับสมัครบุคคลเข้าทำงานเป็นเท็จ โดยเรียก
และรับเงินจากผู้มาสมัครเป็นค่าตอบแทน (โทษไล่ออก)
5.12 หลอกลวงเอาเงินโดยสัญญาว่าจะช่วยให้สอบบรรจุเป็นภารโรงได้ โดยทำสัญญากู้ยืมไว้
เป็นประกัน (โทษไล่ออก)
5.13 เรียกร้องและรับโดยอ้างว่าจะช่วยเหลือให้สอบแข่งขันเข้ารับราชการได้ (โทษไล่ออก)
5.14 แอบลักลอบได้เสียกับภรรยาของเพื่อนข้าราชการ (โทษให้ออก)
5.15 สนิทสนมและไปมาหาสู่กับภรรยาของเพื่อนข้าราชการทั้งกลางวันกลางคืนในที่สุด
เพื่อนข้าราชการได้บันทึกตกลงยินยอมยกภรรยาให้ (โทษให้ออก)
5.16 ลักลอบได้เสียกันทั้งที่ต่างฝ่ายมีคู่สมรสและมีบุตรอยู่แล้ว (โทษให้ออก)
5.17 มีบุตรและสามีแล้วไปมีสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้อื่นและอยู่
กินด้วยกันจนมีบุตรจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายอิสลาม (โทษปลดออก)
5.18 มีภรรยาและมีบุตรแล้วหลอกลวงหญิงอื่นเป็นภรรยาจนมีบุตรด้วยกันแล้วกลับทอดทิ้ง
นอกจากนี้ยังหลอกลวงให้หญิงนั้นลงนามยินยอมให้ตนมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์หลังจากนั้นได้ฟ้องขับไล่หญิง
นั้น (โทษไล่ออก)
5.19 มีฝิ่นไว้ในครอบครองและใช้เสพศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแต่รอลงอาญา (โทษไล่ออก)
5.20 มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายศาลพิพากษาลงโทษจำคุก (โทษไล่ออก)
5.21 ถูกเจ้าหน้าที่ตำ รวจจับกุมข้อหามียาเสพติดประเภทเฮโรอีนไว้ในครอบครอง
(โทษไล่ออก)
5.22 ใช้อุบายหลอกหลวงและปลุกปล้ำนักศึกษา ซึ่งเคยฝึกงานเกิดการต่อสู้ขัดขืนจน
นักศึกษาคนดังกล่าวได้รับบาดเจ็บ (โทษไล่ออก)
5.23 พยายามทุจริตในการสอบโดยลักลอบนำเอกสารเกี่ยวกับวิชาที่เข้าสอบเข้าไป
ในห้องสอบ (โทษไล่ออก)
5.24 คัดลอกข้อความในเอกสารที่ลักลอบนำเขาไปในห้องสอบลงในกระดาษคำตอบ
(โทษไล่ออก)
5.25 ปลอมลายมือชื่อเพื่อนข้าราชการ เพื่อขอกู้เงินฉุกเฉินจากสหกรณ์และรับเงินไปใน
ฐานะผู้รับมอบอำนาจ (โทษไล่ออก)
5.26 ปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่อื่น และภรรยาในฐานะผู้ค้ำประกันและผู้ให้ความยินยอม
กับปลอมลายมือชื่อพยานเพื่อใช้ประกอบการกู้เงินจากสหกรณ์ (โทษให้ออก)
5.27 ปลอมสมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากธนาคาร เพื่อไปแสดงประกอบหลักฐานการขอหนังสือ
ผ่านแดนเข้าไปประเทศอื่นศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี (โทษปลดออก)
๑๘
5.28 ลักเช็คปลอมลายมือชื่อนำไปเบิกเงินที่ธนาคาร (โทษปลดออก)
5.29 ถูกศาลพิพากษาให้จำ คุกในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติโดยมิชอบ
(โทษไล่ออก)
5.30 ถูกศาลพิพากษาให้จำ คุกในข้อหามีแสตมป์สุราปลอม และเครื่องมือสำ หรับ
ปลอมแปลงแสตมป์รัฐบาลไว้ในครอบครอง (โทษให้ออก)
5.31 ถูกศาลพิพากษาให้จำคุกกรณีใช้อาวุธปืนยิงภรรยาถึงแก่ความตายโดยเจตนา
(โทษไล่ออก)
5.32 ถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำ คุกในข้อหาพยายามลักทรัพย์ของทางราชการ
(โทษไล่ออก)
5.33 ถูกจับกุมพร้อมของกลางเป็นเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย (โทษไล่ออก)
5.34 ใช้อาวุธปืนยิงขาราชการอื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสภรรยาและบุตรข้าราชการดังกล่าว
ถึงแก่ความตายด้วย (โทษไล่ออก)
5.35 ถูกศาลพิพากษาจำคุกในข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย (โทษไล่ออก)
5.36 เข้าร่วมเล่นการพนันและมีหนี้สินที่เกิดจากการเล่นการพนันและมีหนี้สินจนต้อง
ขาดราชการบ่อย (โทษให้ออก)
5.37 ชักชวนข้าราชการร่วมเล่นแชร์ และเกิดปัญหาจนต้องยกเลิกวงแชร์โดยไม่คืนเงินที่รับ
ไปแก่สมาชิกวงแชร์ (โทษให้ออก)
5.38 ใช้หนังสือเดินทางปลอมเดินทางออกนอกราชอาณาจักร (โทษปลดออก)
5.39 เรียกและรับเงินเพื่อเป็นค่าวิ่งเต้นช่วยคดีจนกระทั่งถูกร้องเรียนจึงนำเงินมาคืนจนครบ
(โทษปลดออก)
------------------------------------------------------------
ที่มา : แนวการลงโทษทางวินัย
ศึกษาเรียนรู้
- กลุ่มบริหารวิชาการ
- กลุ่มบริหารงบประมาณ
- กลุ่มบริหารงานบุคคล
- กลุ่มบริหารทั่วไป
- กลุ่มบริหารกิจการนักเรียน
- การบริหารสถานศึกษา
- คุณธรรมผู้บริหาร
- ตามนโยบายศธ.สพฐ.
- กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
- ลูกเสือ
- ยุวกาชาด
- บำเพ็ญม.ปลาย
- นศท.
- ชุมนุม
- กิจกรรมเพื่อสังคมฯ
- ดนตรี
- กีฬา
- แนะแนว
- เรื่องที่เป็นคติ
- อบรมคุณธรรม
- หนึ่งนาทีชีวีมีสุข
- สติมาปัญญาเกิด
- กลุ่มสาระ
- วิทยาศาสตร์
- พืช
- สัตว์
- การเลี้ยงวัว
- เกษตร
- ประเภทงานช่าง
- สาระการศึกษา
- ความรู้ผู้บริหาร
- การแต่งกาย
- ความรู้และทักษะชีวิต
- แนวทางในโรงเรียน
- กฎหมายการศึกษา
- ข้อกฎหมาย/ระเบียบ
- หลักสูตรพัฒนาผู้บริหาร
- สหกรณ์ออมทรัพย์ครู
- กองทุนกบข.
- ทักษะการเงิน
- งานวิจัย
- บทความ
- การพูดในโอกาส
- กิจกรรมวันสำคัญ
- โครงการโรงเรียนคุณภาพ
- โครงการสถานศึกษาปลอดภัย
- โครงการเศรษฐกิจพอเพียง โคกหนองนา
- โครงการคุณธรรมโรงเรียนวิถีพุทธ
- โครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
- โครงการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
- โครงการโรงเรียนปลอดขยะ
- โครงการศูนย์ป้องกันแพร่เชื้อโควิด
- โครงการห้องเรียน iClass room
- ตลาดวิชาพื้นฐาน
- PDCA
- WordClass
- HCEC
- 4H
- KUSA
- 4M3Rs
- PLC AAR
- SLC
- Active Learning
- 5STEPs
- Thinking School
- Test
- ITA
- Best Practice
- Academy School
- Sport
- ESchool
- Website
- Competency
- Online
- Apps
- ข้อคิดเตือนใจ
- Reset
- admin
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น